เสือโคร่ง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รักในชีวิตสันโดษชอบออกล่าเหยื่อเพียงลำพัง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris จัดอยู่ในวงศ์ Felidae รูปร่างใกล้เคียงกับเสือโคร่งสายพันธุ์เบงกอล มีต้นกำเนิดจากเอเชียตะวันออก กระจายตัวอยู่ในเขตผืนป่าทั่วทวีปเอเชียและทางตะวันออกของรัสเซีย อาหารหลักที่กินคือเนื้อสัตว์ อาศัยอยู่ตามป่าทึบสลับกับทุ่งหญ้าโล่ง
มาทำความรู้จัก เสือโคร่ง สัตว์มีชีวิตที่รักสันโดษ
เสือโคร่งเป็นนักล่าอันดับสูงสุดในห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนที่พบเห็น ด้วยลักษณะภายนอกที่โดดเด่น มีลวดลายบนตัวและสีของลำตัวที่สวยงาม มีหลากหลายสายพันธุ์ ขนาดลำตัวกับน้ำหนักแต่ละพันธุ์จะมีความแตกต่างกัน เสือตัวเมียจะทำหน้าที่เลี้ยงลูก ส่วนเสือตัวผู้จะคอยปกป้องไม่ให้เสือตัวผู้อื่นๆ รุกล้ำอาณาเขต
อุปนิสัยและพฤติกรรมของ เสือโคร่ง ที่ควรรู้
เสือโคร่งสัตว์ที่มีชีวิตสันโดษ ยกเว้นแม่เสือที่มีลูกอ่อนที่ต้องคอยเลี้ยงดูและปกป้องลูกของตัวเอง เสือแต่ละตัวจะมีอาณาเขตอาศัยเป็นของตัวเอง จะอาศัยอยู่ในพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำหรือในบริเวณที่มีต้นไม้หนาแน่น โดยจะมีนิสัยกับพฤติกรรมอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย
- นิสัยปกติจะหวงถิ่น เสือจะหันก้นปัสสาวะรดตามต้นไม้หรือโขดหิน เพื่อให้กลิ่นของตนเองติดอยู่ เหมือนประกาศอาณาเขตและสื่อสารกับเสือโคร่งตัวอื่น หากมีเสือโคร่งตัวอื่นหรือสัตว์อื่นที่มีขนาดใหญ่รุกล้ำมา จะเกิดการต่อสู้กัน เสือมีนิสัยที่จะกลัวมนุษย์ เมื่อพบกับมนุษย์แล้วจะรีบหลบหนีทันที
- ชอบอาศัยอยู่ตามป่าทึบสลับกับทุ่งหญ้าโล่งนอกจากนี้ยังมีนิสัยอีกอย่างที่อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน คือเสือชอบว่ายน้ำกับแช่น้ำมาก ซึ่งแตกต่างจากเสือสายพันธุ์อื่น ที่ล่าเหยื่อได้ทั้งกลางวันทั้งคืน ส่วนใหญ่จะนอนพักผ่อนในเวลากลางวัน และออกล่าเหยื่อช่วงเวลากลางคืน
- เสือโคร่งกับวิธีการล่าเหยื่อ มักจะจู่โจมโดยจะกัดที่คอหอยเหยื่อจากทางด้านบนหรือด้านล่างก่อนบางทีกระโดดควบหลังเหยื่อให้ล้มลงก่อนที่จะกัดคอหอย จะเริ่มกินเนื้อบริเวณคอ จากนั้นถึงจะกินส่วนอื่น แต่มักจะไม่กินส่วนหัวกับขาของเหยื่อ
- พฤติกรรมของเสือ จะมีนิสัยชอบอยู่เพียงลำพังตัวเดียวโดด ๆ ยกเว้นเมื่อพร้อมผสมพันธุ์จึงจะจับคู่กัน อายุที่พร้อมจะผสมพันธุ์นั้น คือช่วงอายุ 3-5 ปี คลอดลูกครั้งละ 1-6 ตัว อีกทั้งจะเลี้ยงลูกเองตามลำพังโดยไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ประมาณ 2 ปี
- การกินอาหาร เสืออยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร อาหารที่ชอบมาก คือ หมูป่ากับกวาง ส่วนใหญ่เสือโคร่งจะกินสัตว์ขนาดใหญ่ กินเหยื่อที่ล่าตามธรรมชาติหรือสัตว์กินพืชชนิดต่างๆเช่น กระทิง, วัวแดง, เก้งป่า, นอกจากนี้เสือคือสัตว์ผู้ล่าขนาดใหญ่ จึงส่งผลให้มีอาณาเขตในการหาอาหารที่กว้างขวาง [1]
เสือโคร่ง มีรูปลักษณะอย่างไร
เมื่อพูดถึงเสือโคร่งแล้ว เชื่อว่าหลายท่านคงเคยเห็นและรู้จักกันดี จะมีรูปร่างสง่างาม ลำตัวใหญ่น่าเกรงขาม มีลายพาดกลอนไม่เหมือนเสือชนิดอื่น ถ้ามองดูภายนอกแล้วจะมีรูปร่างใกล้เคียงกับเสือโคร่งสายพันธุ์เบงกอลที่สุด โดยมีรูปร่างดังต่อไปนี้
- ลักษณะ : เสือตัวผู้มีลักษณะเด่นที่ขนที่หลังแก้มทั้งสองด้านซึ่งจะยาว บริเวณจมูกมีสีชมพู ลำตัวมีสีเหลืองแดงหรือสี บริเวณหน้าอก ส่วนท้องกับด้านในของขาทั้งสี่มีสีขาวครีม บางตัวอาจมีสีออกเหลือง ตากลมมีตาสีเหลือง หูจะสั้นกลม หลังหูมีสีดำ ขาหน้าจะบึกบึนแข็งแรง ปลายหางเรียวยาวประมาณครึ่งหนึ่งของลำตัว
- สีลำตัว : สีของลำตัวนั้นจะมีสีตั้งแต่โทนแดงส้มไปยังเหลืองปนน้ำตาล ส่วนด้านล่างมีสีขาว ลำตัวยังมีลายพาดผ่านมีสีดำกับเทาเข้ม
- เท้า : เท้าหน้าจะมีนิ้วอยู่ข้างละ 5 นิ้ว ส่วนเท้าหลังมีข้างละ 4 นิ้ว เล็บสามารถหดเก็บไว้ในอุ้งได้ ทำให้สามารถเดินได้อย่างเงียบกริบ อีกทั้งรอยเท้าจะไม่ปรากฏรอยเล็บ
- น้ำหนักกับขนาดความยาว : ขนาดกับน้ำหนักของแต่ละพันธุ์มีความแตกต่างกัน เช่น เสือไซบีเรียตัวผู้มีขนาดใหญ่มีความแข็งแรงที่สุด มีความยาวลำตัวเกิน 10 ฟุต หนักมากกว่า 300 กิโลกรัม
- ลายพาดกลอนของเสือโคร่ง : ลายพาดกลอนของเสือโคร่งแต่ละตัวมีความแตกต่างกันมาก จะไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่ตัวเดียว จุดสังเกตของแถบบนตัวเสือโคร่งคือ จำนวนแถบกับความกว้างของแถบ เสือโคร่งพันธุ์สุมาตรามีริ้วลายมากที่สุด ส่วนเสือโคร่งพันธุ์ไซบีเรียจะมีลายน้อยที่สุด
- อายุขัย : ถ้าตามสถานเพาะเลี้ยงจะมีอายุประมาณ 25 ปี ส่วนถ้าในตามธรรมชาติจะอายุสั้นกว่าประมาณ 10 ปีเท่านั้น แต่เคยมีบันทึกไว้ว่ามีเสือโคร่งสามารถมีอายุอยู่ได้ถึง 26 ปี [2]
สายพันธุ์ของเจ้า เสือโคร่ง กับเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการสืบพันธุ์
เสือโคร่งเรียกได้ว่านักล่าเหยื่อที่ชอบฉายเดี่ยวในทวีปเอเชียเสือโคร่งได้รับการยกย่องให้เป็นจ้าวป่า เช่นเดียวกับที่สิงโตที่ครองตำแหน่งเจ้าแห่งท้องทุ่งในทวีปแอฟริกา เสือจะมีชนิดพันธุ์ย่อยของเสือโคร่งอยู่หลายชนิด เสือตัวผู้กับตัวเมียจะมีน้ำหนักกับความยาวของลำตัวที่แตกต่างกัน เมื่อเสือโคร่งโตเต็มวัยทั้งคู่จะอยู่เพียงลำพังจนกว่าจะพร้อมผสมพันธุ์
ชนิดพันธุ์ย่อยของ เสือโคร่ง
เสือโคร่งจะแบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้ 6 ชนิดย่อย โดยจะมีเขตที่กระจายพันธุ์ มีลักษณะรูปร่างและขนาดตัวกับน้ำหนักที่มีความต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละพันธุ์ ดังไปดังนี้
- เสือโคร่งเบงกอล : บางครั้งอาจเรียกว่าเสือโคร่งอินเดีย เนื่องจากพวกมันส่วนใหญ่อยู่อาศัยในประเทศอินเดีย ส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่หากพื้นที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ เราก็สามารถพบเสือโคร่งอาศัยอยู่ร่วมกันได้จำนวนมาก ลำตัวของตัวผู้จะมีน้ำหนัก 180-258 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.7-3.1 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100-160 กิโลกรัม มีความยาว 2.4-2.65 เมตร
- เสือโคร่งไซบีเรีย : ถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันอยู่ในบริเวณผืนป่าที่หนาวเย็น ทางตะวันออกของรัสเซีย อาศัยในผืนป่าทางตอนเหนือที่แทบไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย มีพื้นที่มหาศาลที่ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติ ตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 180-306 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.7-3.3 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100-167 กิโลกรัม มีความยาว 2.4-2.75 เมตร
- เสือโคร่งอินโดจีน : สามารถพบเห็นได้ไม่ยากในพื้นที่ประเทศพม่า,ไทย, เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา, ทางตอนใต้ของจีน ชนิดพันธุ์นี้อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ โดยคาดว่าเหลืออยู่เพียง 300 ตัวตามธรรมชาติ ตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 150-195 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.55-2.85 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100-130 กิโลกรัม มีความยาว 2.3-2.55 เมตร
- เสือโคร่งมลายู : ปัจจุบันคาดว่าเหลือเสือโคร่งมลายูราว 500 ตัว ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรมลายู บริเวณประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย มีลักษณะคล้ายคลึงกับเสือโคร่งอินโดจีนทั้งสี, ลวดลาย รวมถึงสัณฐานของกะโหลก ตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 120 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม
- เสือโคร่งสุมาตรา : จากการสำรวจ พบว่าอาศัยอยู่บนเกาะสุมาตราได้ราว 1,000 ตัว แต่ในปัจจุบัน คาดว่ามีเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากการล่าที่รุนแรงมากขึ้น รวมไปถึงอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันที่บุกทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยนั่นเอง ตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 100-140 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.2-2.55 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 75-110 กิโลกรัม มีความยาว 2.15-2.3 เมตร
- เสือโคร่งจีนใต้ : อาจเรียกได้ว่าเวลาของเสือโคร่งจีนใต้ได้หมดลงแล้ว เพราะนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ก็ไม่มีใครสามารถบันทึกเสือพันธุ์นี้นตามธรรมชาติได้อีก แม้ว่าอาจจะมีหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก คาดว่าชนิดพันธุ์ย่อยนี้อาจสูญพันธุ์จากธรรมชาติไปแล้ว โดยตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 130-175 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.3-2.65 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100-115 กิโลกรัม มีความยาว 2.2-2.4 เมตร
เสือโคร่งส่วนใหญ่จะออกมาในตอนกลางคืน เว้นแต่เสือไซบีเรียที่จะออกมาในช่วงกลางวันของฤดูหนาว จะล่าเหยื่อโดยการค่อยๆเข้าใกล้เหยื่อ จากนั้นจู่โจมเข้าทางด้านข้างหรือด้านหลังนั่นเอง [3]
การสืบพันธุ์ของ เสือโคร่ง
เสือโคร่งเมื่อโตเต็มวัยแล้ว เสือทั้งตัวผู้และตัวเมียจะอาศัยอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งถึงเวลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์ ถึงจะค่อยๆออกมาหาคู่
- การผสมพันธุ์ เสือตัวเมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์เมื่ออายุได้ 3 ปีขึ้นไป ในขณะที่ตัวผู้ที่อายุเท่ากันก็สามารถผสมพันธุ์ได้ แต่จะมีโอกาสน้อยกว่าตัวเมีย เนื่องจากเสือโคร่งตัวผู้ต้องหาอาณาเขตของตัวเองให้ได้ก่อน ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 1-2 ปี ดังนั้นเสือตัวผู้อาจมีอายุถึง 4-5 ปี ถึงจะสามารถหาตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ได้
- การอุ้มท้อง เสือตัวเมียจะอุ้มท้องประมาณ 3 เดือนก่อนคลอดลูก จำนวนลูกที่คลอดจะมีประมาณ 2- ตัว ส่วนใหญ่ลูกจะรอดชีวิตจนโตเต็มวัยประมาณ 2-3 ตัว เท่านั้น แม่เสือมีทำหน้าที่เลี้ยงลูก ในขณะที่ตัวผู้จะคอยปกป้องที่อยู่ไม่ให้เสือโคร่งตัวผู้อื่นๆ รุกล้ำอาณาเขต อีกทั้งยังผสมพันธุ์กับเสือโคร่งตัวเมียอื่นๆ ที่อยู่ในอาณาเขตของตน
- เสือโคร่งตัวเมียจะเลี้ยงลูกประมาณ 2 ปี ถ้าลูกเสือตัวผู้ จะเริ่มแยกตัวออกไปหาอาณาเขตของตัวเอง ในขณะที่ลูกเสือตัวเมียอาจอยู่กับแม่ต่อไปจนอายุประมาณ 2-5 ปี จึงค่อยแยกตัวออกไป
การที่เสือโคร่งจะเลี้ยงลูกได้ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับอาหารด้วย จะเฉลี่ยใน 1 ปี จะกินเนื้อประมาณ 3,000 กิโลกรัมต่อ 1 ตัว การเลี้ยงลูก 2-3 ตัว ต้องมีเนื้อถึง 4,000 กิโลกรัมต่อปี ลูกๆถึงจะมีชีวิตรอด อีกทั้งจะเห็นได้ว่าชนิดพันธุ์ย่อยแต่ละพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็ยังคงเหลืออยู่จำนวนมาก แต่บางสายพันธุ์ก็อาจสูญพันธุ์จากธรรมชาติไปแล้ว [4]
สรุป เสือโคร่ง นักล่าเหยื่อฉายเดี่ยวที่ชอบใช้ชีวิตสันโดษ
เสือโคร่ง นักล่าเหยื่อโดยใช้ประสาทสัมผัสทางตาและการฟังเสียงชอบฉายเดี่ยวเพื่อออกล่าเหยื่อ ชอบกินหมูป่ากับกวางมากที่สุดสังหารเหยื่อโดยกัดที่ลำคอหรือบริเวณด้านหลังของส่วนหัว อีกทั้งเสือแต่ละตัวจะมีอาณาเขตอาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งอาณาเขตจะอยู่ไม่ไกลกันมากนัก เสือโคร่งบางตัวอาจมีพฤติกรรมเข้าสังคมได้อีกด้วย เช่น การแบ่งปันเหยื่อกันกินนั่นเอง
อ้างอิง
[1] wikipedia. (July 05, 2024). เสือโคร่ง. Retrieved from Wikipedia
[2] verdantplanet. (January 26, 2024). เสือโคร่ง. Retrieved from verdantplanet
[3] seub. (July 29, 2017). รู้จัก 6 ชนิดพันธุ์ย่อยของ ‘เสือโคร่ง’. Retrieved from seub
[4] wwf. (2021). เสือโคร่ง. Retrieved from wwf
หนูแฮมสเตอร์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดลำตัวเล็ก อ้วนป้อม ดวงตากลมโต ชอบกัดและแทะฟันที่สุด หนูมีนิสัยที่ชอบเก็บอาหารไว้ในกระพุ้งแก้ม จึงได้มีชื่อเรียกว่า " แฮมสเตอร์ " (hamster) ที่มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า " กระพุ้งแก้ม " นั้นเอง อีกทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู จึงทำให้ใครหลายๆคนตกหลุมรักถึงขั้นอยากรับเจ้าหนูตัวจิ๋วไปดูแลกันเลยทีเดียว
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “หนูแฮมสเตอร์” ตัวจิ๋ว
หนูแฮมสเตอร์เป็นอีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยลักษณะนิสัยที่แสนจะน่ารัก น่าทะนุถนอม เห็นตัวเล็กๆแบบนี้ ชอบออกกำลังกายมาก ชอบวิ่งเล่นซน มีขนปุกปุยที่จับแล้วนุ่มละมุน หนูสายพันธุ์นี้ไม่ได้เลี้ยงยากอย่างที่คุณคิด แถมยังใช้พื้นที่ไม่เยอะในการเลี้ยงดู สำหรับมือใหม่ที่มีความสนใจหรือกำลังจะต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าบ้านนั้น จะต้องศึกษาหาความรู้ให้ดี
ลักษณะทั่วไปของ หนูแฮมสเตอร์ ที่ทำให้ใครที่พบเห็นตกหลุมรักได้ง่ายๆ
- หนูแฮมสเตอร์ ด้วยขนาดตัวที่เล็กน่ารัก อ้วนป้อม แก้มจะป่อง ดวงตาจะกลมโตมีสีดำหรือแดง หางจะสั้นกว่าลำตัวและมีขนาดเล็กอย่างเห็นได้ชัดเจน มีขนปุกปุยนุ่มๆ ขนจะมีหลายสี เช่น ดำ, ขาว, น้ำตาล, เหลืองเข้ม, เหลือง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของหนูแต่ละชนิดที่แตกต่างกันออกไป ส่วนสีขนด้านใต้ท้องจะเป็นสีขาว ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารัก [1]
หนูแฮมสเตอร์มีนิสัยที่น่าเอ็นดูอย่างไรบ้าง
เจ้าหนูแฮมสเตอร์ สัตว์เลี้ยงตัวจิ๋ว ที่นอกจากจะทำให้หลายๆคนอยากเป็นเจ้าของแล้ว ยังเลี้ยงไม่ยาก มีความน่ารักอย่างไรบ้าง มาทำความรู้จักเกี่ยวกับเจ้าหนูกัน
- การกิน : หนูจะกินเก่งมากๆ ผักหรือผลไม้สดจะเป็นอาหารที่ชื่นชอบ มักจะเก็บอาหารไว้ในกระพุ้งแก้ม นอกจากนี้กระพุ้งแก้มสำหรับแม่หนูยังเป็นที่เก็บลูกๆได้อีกด้วย เมื่อรู้สึกถึงอันตราย แต่ถ้าอากาศร้อนจะทำให้กินอาหารน้อยลง เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องสะสมไขมันในร่างกาย
- การนอน : จะนอนในเวลากลางวัน และตื่นมาวิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมตอนกลางคืนแทน เพราะโดยธรรมชาติแล้วจะอาศัยอยู่ในโพรงดินกลางทะเลทรายที่มีอากาศร้อนตอนกลางวัน อีกทั้งการออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนนั้นจะรู้สึกปลอดภัยกว่า
- การออกกำลังกาย : เป็นหนูที่ชอบวิ่งออกกำลังกาย สามารถวิ่งได้ถึง 30 ไมล์ต่อคืน หรือใช้เวลาประมาณ 3 - 4 ชั่วโมงต่อคืนเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ได้วิ่ง อาจทำให้เกิดผลต่อสุขภาพได้
- การมองเห็น : มักจะมีสายตาไม่ดี สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ไกล แต่ไม่ชัด จะมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จึงต้องอาศัยการฟังและการดมกลิ่นเพื่อช่วยในการดำเนินชีวิตแทน
- การกัดแทะฟัน : เนื่องจากฟันของหนูจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากหนูไม่ได้กัดแทะ อาจทำให้ปากได้รับบาดเจ็บได้ ดังนั้นจึงต้องลับฟันให้สั้น
นอกจากนี้แล้วเจ้าหนูน้อยตัวจิ๋วยังสามารถมีอายุขัยได้นานถึง 2 - 3 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลเลี้ยงดูของเจ้าของ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง สังเกตพฤติกรรม ร่วมถึงปัจจัยอื่นๆและสภาพแวดล้อมที่ดีอีกด้วย [2]
สายพันธุ์และวิธีการสังเกต “หนูแฮมสเตอร์” เมื่อป่วย
มาทำความรู้จักเกี่ยวกับหนูแฮมสเตอร์ พร้อมกับสายพันธุ์ต่างๆที่ได้รับความนิยมเลี้ยง มือใหม่ที่สนใจอยากรับสมาชิกใหม่มาดูแล ต้องเลือกหนูชนิดใดที่เหมาะสมกับตัวเอง รวมไปถึงการดูแลสัตว์เลี้ยงให้ดี ควรมีการสังเกตพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงเบื้องต้นดังต่อไปนี้
หนูแฮมสเตอร์มีกี่สายพันธุ์แล้วสายพันธุ์ไหนที่เชื่องที่สุด
- สายพันธุ์วินเทอร์ไวท์ (Winter white) : นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด เพราะเมื่อมาถึงฤดูหนาว เจ้าหนูจะผลัดขนเปลี่ยนเป็นสีขาว ตัวกลมมีขนนุ่ม หางกับใบหน้าที่สั้น ขนาดโตเต็มวัยมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 10 ถึง 12 เซนติเมตร จะมีอยู่ด้วยกัน 3 สี คือ Agouti , Sapphire , Pearl , ค่อนข้างมีความรักสันโดษ หวงถิ่นที่อยู่อาศัยของตัวเองมาก ไม่ดุมากแต่ก็ไม่ใจดี
- สายพันธุ์แคมป์เบลล์ (Cambell) : จะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่าพันธุ์วินเทอร์ไวท์เล็กน้อย ตัวอ้วนกลม มีขนนุ่ม หางจะสั้นกุด แล้วจะโตเต็มวัยอยู่ที่ประมาณ 10 - 15 เซนติเมตร ภายนอกดูน่าเอ็นดู แต่ค่อนข้างดุเอาแต่ใจบ้างเล็กน้อย
- สายพันธุ์ไชนีส แฮมสเตอร์ (Chinese Hamster) : คนไม่ค่อยนิยมเลี้ยงเพราะคล้ายกับหนูบ้าน ลำตัวจะผอมเพรียวเรียวยาว หน้าแหลมนิดหน่อย หางจะยาวกว่าพันธุ์อื่นๆ ตัวโตเต็มที่อยู่ที่ความยาว ประมาณ 7 - 9 เซนติเมตร จะขี้ตกใจหวาดกลัว
- สายพันธุ์โรโบรอฟสกี (Roborovski) : หนูที่เล็กที่สุด แต่วิ่งเร็วมาก ขี้ตกใจ กลัวง่าย สีขนจะคล้ายกับเม็ดทราย เพื่อความกลมกลืนในการอำพรางตัวเองจากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว มีอายุที่ยืนกว่าหนูพันธุ์อื่นๆที่กล่าวมา
- สายพันธุ์ซีเรียนแฮมสเตอร์หรือไจแอนท์แฮมสเตอร์ (Syrian Hamster) : มีลำตัวที่ใหญ่ ตัวอ้วน หางสั้นกุด หน้าแหลม ขนฟูเหมือนตุ๊กตาหมีเลยก็ว่าได้ ขนจะสะท้อนแสงเงาคล้ายกับผ้ากำมะยี่ มีนิสัยเชื่อง ใจดีไม่ดุ แต่ไม่ควรเลี้ยงรวมกันหลายตัว ต้องแยกเดี่ยว 1 ตัวต่อ 1 กรง ขนจะมีหลากหลายสี เช่น ครีม, เทา, ขาว, น้ำตาล
จะเห็นได้ว่าหนูแฮมสเตอร์ที่คุณชื่นชอบนั่นจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ จากที่ได้ค้นพบมานั้น หนูที่เชื่องที่สุด คือ ซีเรียน แฮมสเตอร์ ถือเป็นหนูที่มีมิตรที่สุด ชอบผ่อนคลาย ถ้าเทียบกับหนูสายพันธุ์อื่นเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นชิน รวมไปถึงการดูแลที่ง่ายกว่าด้วย
พฤติกรรมที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า หนูแฮมสเตอร์ กำลังป่วย
หนูแฮมสเตอร์ถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดูแลไม่ค่อยยาก แต่สิ่งที่สำคัญมาก คือการดูแลเอาใจใส่ ไม่ควรปล่อยปละละเลย ทุกครั้งที่อยู่กับหนูจะต้องค่อยสังเกตอาการทุกวัน โดยมีดังต่อไปนี้
- ทางเดินหายใจ : เมื่อไรที่มีน้ำมูก,ตาแฉะ, หอบ, เริ่มหายใจถี่หรือหายใจลำบาก,มีการอ้าปากหายใจ รวมไปถึงหายใจค่อนข้างเสียงดัง
- ฟันกับช่องปาก : อาการที่พบได้บ่อย คือ คางเปียก,กินอาหารลำบาก,มีฟันที่ยาวมากอาจทิ่มช่องปากทำให้เกิดแผลส่งผลให้เกิดอาการติดเชื้อร่วมด้วย ส่วนในกรณีบางตัวถ้าน้ำหนักตัวลดลงหรือผอมลง อาจมีโรคแทรกซ้อนต่างๆตามมาได้
- ทางเดินอาหาร : ถ้าหนูหางเปียกตลอดเวลา มีการถ่ายเหลว อุจจาระเพิ่มขึ้นส่งกลิ่นเหม็นผิดปกติ สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นโรคหางเปียกนั่นเอง ดังนั้นให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยทันที
- ขนและผิวหนัง : มีอาการคัน, เกา, ขนร่วง, ผิวหนังอักเสบ มีความอับชื้นโดยเฉพาะตรงบริเวณใต้ท้องหนูที่เกิดจากการชอบนอนจมทับอุจจาระ ถ้าเริ่มป่วยจะชอบนอนทับปัสสาวะในช่วงอากาศร้อนจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ [3]
สรุป หนูแฮมสเตอร์ เพื่อนเล่นตัวจิ๋วที่มาพร้อมกับความสุข
ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่หันมาเลี้ยง หนูแฮมสเตอร์ อย่างมาก ด้วยลักษณะนิสัยที่มีความน่ารักน่าเอ็นดู อีกทั้งยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่เล็กพกพาง่าย ใครที่กำลังจะเลี้ยง ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะหนูเปรียบเสมือนเพื่อนเล่นตัวน้อยของคุณ อาจจะมีดื้อหรือซนบ้าง แต่ก็ทำให้คุณหายเหงาได้ ดังนั้นเมื่อรับน้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกครอบครัวแล้ว ก็ต้องใส่ใจและดูแลน้องให้ดีที่สุด
อ้างอิง
[1] wikipedia. (January 09, 2024). แฮมสเตอร์. Retrieved from wikipedia
[2] shopee. (October 10, 2023). วิธีเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์อย่างถูกต้อง ลักษณะนิสัยและสายพันธุ์ยอดนิยม. Retrieved from shopee
[3] petplease. (Jan 20, 2023). เรื่องน่ารู้ สำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์. Retrieved from petplease
คาปิบาร่า หรือ เจ้าหนูยักษ์ เป็นสัตว์กินพืชเลี้ยงลูกด้วยนมกึ่งสัตว์น้ำ มีฟันแทะขนาดใหญ่ ชื่อสามัญ Capybara ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Hydrochoerus hydrochaeris ถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือกับตอนกลางของแถบอเมริกาใต้ ชอบเข้าสังคมมากที่สุด สามารถอยู่ร่วมกับสัตว์ตัวอื่นๆได้แทบจะทุกชนิดเลย แต่ก็จะมีบางตัวที่บ้างชอบอยู่คนเดียว
มาทำความรู้จัก “คาปิบาร่า” ขวัญใจของชาวโซเชียลมีเดีย
คาปิบาร่าสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมิตรที่สุด เรามักจะเห็นภาพถ่ายหรือคลิปที่อยู่กับสัตว์ตัวอื่น ด้วยลักษณะนิสัยที่เชื่องแล้วยังมีความสามารถในการดำน้ำและว่ายน้ำได้ ปัจจุบันกำลังมาแรงในโลกโซเชียลมีเดีย เรียกได้ว่าขวัญใจของใครหลายๆคนเลยก็ว่าได้ จุดเด่นที่ทำให้คนตกหลุมรัก คือ มีใบหน้านิ่งๆ ดวงตาโต แถมตัวยังอ้วน น่าเอ็นดูขนาดนี้จะไม่ให้หลงรักได้ไง
นิสัยและการสืบพันธุ์ของคาปิบาร่าที่ควรรู้
คาปิบาร่าสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีรูปร่างลักษณะนิสัยอย่างไรกัน ทำไมคนถึงหันมาชื่นชอบ บางคนถึงขั้นต้องขับรถไปดูของจริงที่สวนสัตว์กันเลยทีเดียว มาทำความรู้จักกัน
- นิสัยของคาปิบาร่า เป็นสัตว์ที่มีมิตรไมตรีสุดๆ เรียกได้ว่าเพื่อนค่อนข้างเยอะ เพราะเข้ากับสัตว์อื่นได้แทบจะทุกชนิด แม้กระทั่งสัตว์ที่ดุร้ายอย่างจระเข้ก็ตาม ว่ายน้ำเก่งมากว่ายน้ำได้ทั้งวัน แถมมีความสามารถในการดำน้ำได้ จะชอบอาศัยอยู่ตามบริเวณริมน้ำ อยู่รวมกันเป็นฝูงประมาณ 15 - 20 ตัว ค่อนข้างจะกินเยอะ
- การสืบพันธุ์ ผสมพันธุ์กันตามฤดูกาล ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคู่ครองและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การตั้งครรภ์หนึ่งครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 5 เดือน มีลูกได้ถึง 4 - 5 ตัวต่อครอก ลูกตัวจิ๋วที่ออกมานั้นก็จะน่ารักสุดๆไปเลย
ซึ่งไม่แปลกใจเลยทำไมคนถึงสนใจ เพราะความเชื่องและความน่ารักของคาปิบาร่านี้แหละ จึงทำให้คนที่พบเห็นใจละลายไปตามกันเลยทีเดียว [1]
คาปิบาร่ามีรูปลักษณะอย่างไร
เมื่อพูดถึงคาปิบาร่าหลายคนก็จะเรียกกันว่าหนูยักษ์หน้ามึน เพราะหน้าน้องจะดูนิ่งๆออกมึนๆ ถือเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดให้คนเกิดความชื่นชอบและสามารถครองหัวใจของใครหลายๆคนได้เลยทีเดียว ถ้ามองดูภายนอกแล้วจะคล้ายกับหนูตะเภาที่สุด โดยมีรูปร่างดังต่อไปนี้
- ลักษณะ : ตัวเป็นทรงกระบอก รูปร่างจะคล้ายหนูตะเภา หูสั้น ไม่มีหาง ขนจะสั้น มีฟันใหญ่และมีพังผืดที่เท้า ขาหลังจะยาวกว่าขาหน้า ส่วนเท้าหลังจะมี 3 นิ้ว ในขณะที่เท้าหน้ามี 4 นิ้ว นั่นเอง
- สีขน : จะมีสีน้ำตาล, น้ำตาลอมแดง, น้ำตาลอมเหลือง, สีเทา
- น้ำหนักกับขนาดความยาว : เมื่อโตเต็มที่ จะหนักประมาณ 35 - 66 กิโลกรัม 77-146 ปอนด์ ลำตัวจะยาวประมาณ 45-50 เซนติเมตร
- อายุขัย : มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 8 - 10 ปี ซึ่งจะโตเต็มวัย เมื่ออายุประมาณ 15 - 18 เดือน [2]
เจ้าหนู“คาปิบาร่า”เรื่องน่ารู้ก่อนนำมาเลี้ยงเองที่บ้าน
คาปิบาร่าสัตว์โลกผู้น่ารักที่ชอบแช่น้ำเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าในประเทศไทยไม่มีข้อห้ามในการเลี้ยง สามารถนำน้องมาดูแลได้ แต่ต้องมีความรู้และคำนึงถึงปัจจัยในหลายๆด้านด้วยกัน
คาปิบาร่ากินอะไรเป็นอาหารและมีพฤติกรรมแปลกอย่างไร
คาปิบาร่าชอบกินพืชเป็นส่วนใหญ่ แถมยังมีพฤติกรรมแปลกๆที่หลายคนคิดไม่ถึง ก็คือการกินอุจจาระของตัวเองเข้าไป เมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณยังจะชื่นชอบเจ้าหนูคาปิบาร่าอยู่ไหม
- อาหาร : จะกินพืชจำพวกหญ้า, พืชน้ำ,เปลือกไม้, รากพืช, อ้อยรวมไปถึงผลไม้ต่างๆ จะค่อนข้างกินจุสมกับขนาดตัวเลย
- ทำไมถึงกินอึ : เหตุผลที่คาปิบาร่ากินอุจจาระของตัวเองนั้น เพราะระบบย่อยไม่ค่อยดีเท่าไรนัก สามารถย่อยอาหารที่เข้าไปได้ยาก จึงต้องกินอึของตัวเองซ้ำ ฟังดูแล้วอาจดูไม่ค่อยดีนัก แต่หารู้หรือไม่ว่าอึที่กินเข้าไปอุดมไปด้วยโปรตีนจากธรรมชาติทั้งนั้นเลย [3]
ข้อควรรู้ก่อนนำคาปิบาร่ามาดูแล
หากใครที่อยากรับเจ้าคาปิบาร่าไปดูแลจริงๆก็สามารถเลี้ยงน้องได้ แต่ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับน้องให้ดี เพราะเมื่อรับมาดูแลแล้ว จะต้องดูแลไปตลอดจนถึงช่วงอายุขัย ดังนั้นต้องมีความพร้อมในด้านใดบ้าง มีดังต่อไปนี้
- มีความพร้อมในด้านการเงิน : คาปิบาร่าจะตกตัวละ 40,000 - 50,000 บาท ถือว่าราคาค่อนข้างแพง
- เตรียมบริเวณที่เลี้ยงให้พร้อม : มีพื้นที่กว้างขวางน่าอยู่ มีสภาพแวดล้อมที่ดี
- ควรเลี้ยงเป็นคู่ หรือหลายตัวขึ้นไป : เพราะไม่ค่อยชอบอยู่ตัวเดียว ถ้าจะให้ดีต้องมีเพื่อนร่วมด้วย
- สิ่งที่ไม่ควรขาด : คือต้องทำบ่อน้ำไว้สำหรับให้ลงไปว่ายน้ำเล่น เพราะการที่ได้ลงเล่นน้ำ ถือเป็นความสุขของเจ้าหนู
- ไม่ควรเลี้ยงใส่กรง : ควรปล่อยให้อยู่อย่างอิสระ การอยู่ในที่แคบหรือในกรงจะทำให้น้องเครียดได้
- การให้อาหารจำพวกผักหรือผลไม้ : สิ่งที่สำคัญคือ ควรล้างทำความสะอาดให้ดีก่อน เพื่อความปลอดภัยจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง
เจ้าหนูคาปิบาร่าไม่ได้เลี้ยงยากอย่างที่คุณคิด เพียงแต่ว่าคุณต้องมีความพร้อมในเรื่องของการดูแล ถ้าหากใครที่มีปัญหาด้านการเงินหรือมีพื้นที่จำกัด ควรคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่เดือดร้อนต่อตัวเอง [4]
สรุป เจ้าหนูยักษ์ คาปิบาร่า
คาปิบาร่า สัตว์ที่รักความสงบแถมยังเป็นมิตรกับทุกสิ่งบนโลก เปรียบเสมือนเพื่อนที่ดี นอกจากจะมีนิสัยที่น่าเอ็นดูแล้วยังมีความเชื่องกับทุกคนที่เข้าหา ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่มนุษย์อย่างเราตกหลุมรัก ถ้าอยากเจอน้องก็สามารถขับรถไปดูตามสวนสัตว์ต่างๆที่อยู่ใกล้คุณได้ ส่วนใครที่จะรับน้องมาดูแล สิ่งที่สำคัญคือ คุณต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนและความดูพร้อมของตัวเองเป็นหลัก
อ้างอิง
[1] sanook. (July 02, 2023). มาทำความรู้จักกับ "คาปิบาร่า" เจ้าหมามะพร้าวน่ากอด. Retrieved from sanook
[2] wikipedia. (February 29, 2024). แคพิบารา. Retrieved from wikipedia
[3] silpa-mag. (March 08, 2024). “คาปิบารา” ชอบกิน “อึ” เรื่องน่ารักของเจ้าตัวขน ที่คุณ (อาจ) ไม่รู้มาก่อน!. Retrieved from silpa-mag
[4] trueplookpanya. (April 28, 2023). ทำความรู้จัก คาปิบาร่า หนูยักษ์หน้านิ่ง ที่กำลังฮอตบนโลกโซเชียล. Retrieved from trueplookpanya
แมลงสาบ เป็นแมลงที่ไม่มีกระดูกสันหลังมีปีกยาว ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ประมาณ 250 ปี ปัจจุบันพบมากกว่า 9,000 สกุล 4,000 ชนิด โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะลำตัวยาวเรียวเป็นรูปไข่ มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม จะพบตามพื้นหรือที่มืดเป็นหลักสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพผิว กินทุกอย่างที่เป็นอาหารจะอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน ตามพื้นที่สกปรก จะพบเห็นบ่อยขยะหรือแหล่งสกปรก
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “แมลงสาบ” ทำไมคนถึงกลัว
แมลงสาบมีความสำคัญต่อทางการแพทย์และสาธารณสุข เนื่องจากแมลงจะชอบหากินตามพื้นที่สกปรก ตามแหล่งที่อับชื้น เป็นตัวพาหะที่ทำให้เกิดเชื้อโรคต่างๆ นำมาสู่มนุษย์ เช่น เชื้อรา, แบคทีเรีย, ไวรัส, โปรโตซัว, โรคเรื้อน, ภูมิแพ้ อีกทั้งยังรวมไปถึงโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจอีกด้วย สาเหตุหลักเกิดจากการที่เวลาออกหาอาหารเชื้อโรคต่างๆจะติดมากับลำตัวหรือขานั่นเอง
ประเทศไทยพบ แมลงสาบ กี่ชนิด
ในประเทศไทยจะพบแมลงสาบอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 ชนิด มีอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันหรือไม่
- แมลงสาบอเมริกัน : จะลักษณะลำตัวขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 30-40 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลแดง ปีกยาวแถมบินเก่ง มีแหล่งกำเนิดในทวีปแอฟริกา จะนอนตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนจะออกหากิน ซ่อนตัวเก่งมาก จะหลบตามชั้นวางของต่างๆหรือมุมที่มืด ตัวโตเต็มวัยเมื่อ 7 วัน อายุ 4-7 วัน มีอายุประมาณ 212-294 วัน
- แมลงสาบออสเตรเลีย : มีขนาดตัวที่ใหญ่เหมือนกัน ลำตัวยาวประมาณ 27-3 มิลลิเมตร แต่จะเล็กกว่า ‘’แมลงสาบอเมริกัน’’ และมีสีที่เข้มกว่า บินเก่ง ส่วนการเจริญเติบโตจะเป็นแบบลอกคราบ มีอายุยืนประมาณ 170-304 วัน
- แมลงสาบสามัญ : ตัวจะใหญ่ ยาวประมาณ 22-27 มิลลิเมตร ตัวจะสีน้ำตาลเข้มหรือดำ มีลายที่เห็นได้ชัดเจนตรงด้านบนทรวงอกทั้ง 3 ท่อน ตัวผู้จะมีปีกสั้น ส่วนตัวเมียจะไม่มีปีกไม่สามารถบินได้ บินไม่ได้ จะอยู่รวมกันตามกองหนังสือเก่าๆ
- แมลงสาบเยอรมัน : ลำตัวจะประมาณครึ่งนิ้ว ตัวจะสีน้ำตาลอ่อน ปีกยาวทั้งสองเพศบินเก่งทั้งคู่ ชอบอากาศอบอุ่น ตัวเต็มวัยจะอยู่ที่ 7-10 วันจะผสมพันธุ์ จะพบไม่ค่อยบ่อย ส่วนใหญ่จะเห็นตามบ้านเรือนบ้าง แมลงชนิดนี้จะแพร่พันธุ์ได้เร็วมาก อีกทั้งยังสามารถขยายพันธุ์ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งเพศผู้
- แมลงสาบลายน้ำตาล : มีขนาดตัวที่เท่ากับแมลงสาบเยอรมัน สีน้ำตาลอ่อน จุดที่สังเกตได้ง่ายคือมีแถบพาดผ่านอยู่สองแถบที่ปีก จะอยู่เกาะกลุ่มกัน ออกหากินไม่ไกลจากที่อยู่อาศัย ซึ่งจะพบน้อยมาก อย่างเช่นในกล่องปี๊บ
- แมลงสาบซูรินาม : ตัวจะยาวประมาณ 18-24 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลเข้มบางตัวจะสีดำ พบบ่อยตรงพื้นดินใต้กองขยะ, เศษกองใบไม้ ช่วงเวลากลางคืนอาจบินเข้ามาในบ้านบ้าง
- แมลงแกลบ : จะมีรูปร่างลักษณะตัวที่คล้ายแมลงสาบซูรินาม ตัวจะยาวพอๆกัน สีเหมือนกัน ปัจจุบันสามารถใช้ประโยชน์ในการกำจัดขยะอินทรีย์ได้ [1]
อยากรู้เกี่ยวกับเพศของ “แมลงสาบ” ต้องดูอย่างไร
แมลงสาบจะมีอยู่ด้วยกัน 2 เพศ คือเพศผู้กับเพศเมีย ซึ่งทั้งคู่จะมีลักษณะที่คล้ายกันมาก บางทีก็ถึงกับแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ จะมีวิธีการสังเกตดูดังต่อไปนี้
- โดยทั่วไปแล้วจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ขนาดตัวและปลายท้อง แมลงสาบตัวเมียจะมีลำตัวที่อ้วนกว่า เอวหนา ตรงปลายท้อง มีรยางค์ 1 คู่ (cerci) เป็นแผ่นแบนๆเหมือนแคปซูลที่เรียกว่า รังไข่ ใช้สำหรับการวางไข่ตามมุมห้องต่างๆ จะวางไข่โดยการปล่อยน้ำที่มีความเหนียวออกมา มีสีขาวขุ่น ส่วนตัวผู้นั้นจะผอมเรียว มีรยางค์ 2 คู่ คือ (cerci กับ styli ) ใช้เพื่อรับความรู้สึกและการผสมพันธุ์
นี่คือความแตกต่างระหว่างแมลงทั้งสองเพศ ซึ่งถ้าลองสังเกตดูดีๆไม่ได้ดูยากอย่างที่คุณคิด หากใครที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศของแมลงสาบอยู่ก็สามารถนำเทคนิคนี้ไปใช้ได้ [2]
แมลงสาบที่มาพร้อมกับโรคควรมีวิธีการกำจัดอย่างไรเพื่อความปลอดภัย
ถ้าพูดถึงแมลงสาบแล้วจะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ชอบ บางคนก็ถึงขั้นกลัวมาก ทั้งที่แมลงไม่ได้ตัวใหญ่หรือทำร้ายคน แต่เพราะชอบอยู่ในที่สกปรกรวมไปถึงนำพาหะเชื้อโรคมาสู้มนุษย์ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา หากพบว่าแมลงอยู่ในบ้านก็จะรีบจัดการทันทีเพื่อป้องกันโรค
อันตรายจากแมลงสาบที่ส่งผลต่อมนุษย์
- พาหะนำโรค : ที่ติดตามมากับขา, ลำตัว, ปีก, เมื่อเจอแมลงสาบอยู่ในอาหารห้ามกินให้ทิ้งทันที ส่วนไข่ถ้าเจอให้นำไปเผ่าทิ้ง
- เชื้อแบคทีเรีย : จะทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา เช่นโรคบิด, โรคท้องเสีย, โรคติดเชื้อของช่องขับถ่าย, โรคฝีผิวหนังพุพอง, โรคในระบบทางเดินอาหาร, โรคอาหารเป็นพิษ
- หนอนพยาธิ : ในรังจะสะสมโรค เช่น พยาธิปากขอ, พยาธิไส้เดือนกลม, พยาธิตัวตืดแคระ, พยาธิตัวตืดวัว, พยาธิใบไม้โลหิต
- เชื้อรา : จะมีอยู่ 2 ชนิด ที่เป็นสาเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจ คือ Aspergillus fumigatus และโรคผิวหนัง คือ Aspergillus niger
- เชื้อไวรัส : สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ ที่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้หรืออาเจียน
- เชื้อโปรโตซัว : มีเชื้อหลายชนิดที่ทำให้เกิดโรคท้องเสียกับท้องบิด
- ทำให้เกิดอาการแพ้ : พวกเศษของปีกหรือชิ้นส่วนต่าง ๆ ของแมลงสาบ ถ้าหายใจเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ [3]
วิธีการกำจัด แมลงสาบ ไม่ให้เข้ามากวนใจคุณอีกต่อไป
แมลงสาบเข้าบ้านถือเป็นปัญหาที่ทำให้ใครหลายๆกลุ้มใจ ซึ่งเจ้าแมลงสาบตัวเล็กนี้สามารถอยู่ได้ในทุกที่ของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นในห้องนอน, ห้องน้ำ, ห้องครัว หรือโซนห้องนั่งเล่น หากกำลังพบเจอกับปัญหานี้อยู่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเอง
- โรยผงกรดบอริก : สามารถนำผงมาโรยไว้รอบๆบริเวณที่มีความอับชื้นหรือตามเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าแมลงสาบมาตกหลุมพรางแล้วตายสนิท ให้คุณรีบทำความสะอาดทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเพราะอาจจะทำให้ผงปลิวไปโดนของใช้อื่นๆได้
- กับดักเจล : ให้คุณพับกระดาษทรงรูปกรวย จากนั้นนำเจลป้ายไว้ด้านในให้ทั่ว แล้วนำไปวางไว้ตามจุดที่ต้องการ เมื่อแมลงหลงกลมาโดนก็จะทำติดเชื้อ
- การวางยา : ใส่ยาเบื่อมาผสมกับอาหาร เพื่อล่อให้แมลงสาบหลงกลมากิน โดยใส่ไว้ในภาชนะที่มีขอบกั้น นำไปวางไว้ภายในรอบๆ ถ้าแมลงสาบกินเหยื่อเข้าไปก็จะหมดลมหายใจทันที ข้อควรระวังคือ ถ้ามีเด็กเล็กจะต้องระวังให้ดี ห้ามให้ไปโดนกับดักเด็ดขาด
- กวาดบ้านให้เกลี้ยง : สิ่งที่แมลงสาบชอบคือความสกปรก ดังนั้นต้องกวาดพื้นให้สะอาด กำจัดเศษขยะตามซอกมุมให้เกลี้ยง
- ทำเหยื่อล่อด้วยดินเบา : ดินเบาเป็นสารสกัดจากไดอะตอมไมต์ ที่มีซิลิกาจำนวนมาก ดังนั้นควรสวมถุงมือให้มิดชิดใส่หน้ากากปิดปากด้วย ก่อนนำมาทำเหยื่อล่อกับดัก เพราะถ้าหากสูดดมเข้าไปก็จะเป็นอันตรายได้
- เบกกิ้งโซดา : ทำเองได้ง่ายๆ เริ่มจากผสมน้ำตาลกับเบกกิ้งโซดาลงในน้ำเปล่า จากนั้นเทใส่กระป๋อง ส่งกลิ่นหวานๆ ล่อให้แมลงสาบเข้ามากินน้ำ จากนั้นก็จะขาดใจตายเพราะในท้องอัดแน่นไปด้วยแก๊ส
- กากกาแฟ : เอากากกาแฟแช่น้ำใส่ลงไปในขวดโหล ม้วนกระดาษทรงรูปกรวยเสียบไว้ที่ปากขวด ตั้งทิ้งไว้ 1 คืน ถ้าแมลงสูดดมเข้าไปจะตายด้วยกลิ่นของคาเฟอีน
- จัดห้องครัวให้เป็นระเบียบ : ทุกครั้งที่ทำอาหารเสร็จจะต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อย นำเศษขยะไปทิ้งนอกบ้าน กับข้าวที่กินไม่หมดอย่าวางทิ้งไว้เด็ดขาด ให้นำเข้าตู้ปิดฝาให้สนิท
- น้ำมันสะเดา : นำน้ำมันสะเดาสกัดสำเร็จรูปมาผสมกับน้ำเปล่าเพื่อเทใส่ขวดสเปรย์ที่เตรียมไว้ ฉีดตามบริเวณที่ต้องการได้เลย
- น้ำยาปรับผ้านุ่ม : เอาน้ำยามาผสมกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน เทใส่ขวดสเปรย์ จากนั้นก็นำไปพ่นตามที่ที่แมลงสาบชอบเข้าไปอยู่ [4]
สรุป แมลงสาบ อันตรายกว่าที่คุณคิด เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยผ่าน
การดูแลความสะอาดถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่าปล่อยให้ แมลงสาบ เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน เพราะเป็นตัวพาหะนำโรคที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนในครอบครัวได้ ส่วนใครที่กำลังเจอปัญหาอยู่และอยากจัดการกับแมลง ต้องมีความรู้หรือศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะสารที่ใช้ในการกำจัดแมลงบางตัวอันตราย ควรมีการสวมถุงมือพร้อมกับปิดปากให้สนิททุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
อ้างอิง
[1] wikipedia. (March 08,2024). แมลงสาบ. Retrieved from wikipedia
[2] nih.dmsc.moph. (May 2016). แมลงสาบเจ้าวายร้ายในบ้านเรือน Cockroaches. Retrieved from nih.dmsc.moph
[3] nthaipbs. (July 15, 2017). แมลงสาบ 1 ตัวสะสมเชื้อโรค-เตือนห้ามกินเด็ดขาด. Retrieved from nthaipbs
[4] kapook. (2024). 10 วิธีกําจัดแมลงสาบตัวเล็ก ให้หมดไปจากบ้านเราสักที . Retrieved from kapook
ปลาดุก เป็นปลาน้ำจืดที่ไม่มีเกล็ด มีรูปร่างเรียวยาว ผิวหนังจะลื่นๆ จัดอยู่ในสกุล Clarias อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทั่วประเทศ มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดี เนื่องจากปลาได้รับความนิยมในการบริโภคเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในทีวีปเอเชีย
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ “ปลาดุก”
ปลาดุกหรือปลาเศรษฐกิจที่ชาวไทยส่วนใหญ่นิยมเลี้ยง เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้างเลี้ยงง่าย กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ในไทยจะพบปลาดุก ตามคลอง หนอง บึง หรือทั่วทุกภาคที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทั่วไป
สายพันธุ์ของ ปลาดุก ที่เลี้ยงในไทย
ในประเทศไทยปลาดุกที่นิยมเลี้ยง จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 สายพันธุ์ ได้แก่อะไรบ้าง
- ปลาดุกอุย : หรือปลาดุกนา ปลาที่มีรสชาติอร่อย เนื้อไม่เละ สีของผิวหนังค่อนข้างเหลือง ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีมาก มีการเจริญเติบโต แต่มีน้ำหนักตัวที่น้อย
- ปลาดุกเทศ : ปลาที่มีขนาดใหญ่สุดในสกุล Clarias มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ปลาดุกรัสเซีย ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 1.70 เมตร เป็นปลาพื้นเมืองของทวีปแอฟริกา รสชาติของเนื้อไม่ค่อยอร่อย เนื้อจะมีสีขาวค่อนข้างเละ
- ปลาดุกบิ๊กอุย : คือปลาลูกผสม ที่กรมประมงได้นำมาทดลองผสมข้ามพันธุ์ ระหว่างพ่อพันธุ์ปลาดุกเทศ กับ แม่พันธุ์ปลาดุกอุย มีการเจริญเติบโตเร็วที่สุด เนื้อมีรสชาติดี มีการส่งเสริมแพร่วิธีการขยายพันธุ์เพื่อการเลี้ยงดูสู่เกษตรกรได้อย่างกว้างขวาง จนปัจจุบันเป็นปลาที่ได้รับความนิยมสูง
- ปลาดุกด้าน : ปลาที่ถูกพัฒนาให้มีความสวยงาม มีสีสันลวดลายแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะมีลักษณะของสีเผือก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ จะอยู่ที่ประมาณ 50 เซนติเมตร
- ปลาดุกลำพัน : จะมีลักษณะสีของลำตัวค่อนข้างดำ สีจะเปลี่ยนไปตามอายุ ขนาดลำตัว รวมไปถึงสภาพแวดล้อม ถ้าโตเต็มวัยจะมีสีเข้ม แต่ถ้านำมาเลี้ยงในบ่อจะมีสีน้ำตาลเหลือง เนื้อปลามีรสชาติอร่อยและหวาน มักจะพบในเขตบริเวณปลาพรุ
หากคุณมีความสนใจที่อยากจะเลี้ยงปลาดุก สามารถเลือกสายพันธุ์ที่ต้องการได้ โดยแต่ละสายพันธุ์ก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับตัวผู้เลี้ยงว่าชอบแบบไหน เลี้ยงเพื่อจุดประสงค์ในด้านใดเป็นหลัก [1]
นิสัยและรูปร่างหน้าตาของเจ้าปลาดุก
- ลักษณะภายนอก จะไม่มีเกล็ด รูปร่างเรียวยาว มีหัวที่แบนแข็ง มีครีบตรงท้อง, หลัง, ก้น, หน้าอก และหาง มีหนวด 4 คู่อยู่ที่ริมฝีปาก โดยจะใช้หนวดในการหาอาหารกิน เพราะว่าตรงหนวดจะมีประสาทรับความรู้สึกที่ดีกว่าตา ลำตัวจะมีสีน้ำตาลเข้ม สีเทา และดำคล้ำขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่พบเห็น
- นิสัยของปลา จะมีนิสัยที่ค่อนข้างตกใจง่าย ปราดเปรียว เคลื่อนที่ได้ว่องไว ชอบว่ายน้ำดำผุดไม่ชอบอยู่นิ่ง แถมยังชอบซอกแซกไปตามพื้นโคลน จะหากินตามหน้าดิน รวมไปถึงซากสัตว์จำพวกเศษเนื้อที่กำลังจะสลายตัว สามารถขึ้นมาอยู่บนบกได้ ทนกว่าปลาชนิดอื่นๆ อาศัยอยู่ในดิน โคลน หรือในน้ำที่มีออกซิเจนต่ำได้นาน เนื่องจากมีอวัยวะเพศพิเศษที่ช่วยในการหายใจ
แนวทางและขั้นตอนการเลี้ยง ปลาดุก ที่ถูกต้อง
การเลี้ยงปลาดุก จะต้องมีความรู้พื้นฐาน ศึกษาข้อมูลให้ดี เนื่องจากปลาสามารถเลี้ยงได้หลายรูปแบบ เช่น การเลี้ยงในบ่อดิน, บ่อซีเมนต์, ในกระชัง และในบ่อพลาสติกเป็นต้น โดยส่วนมากชาวเกษตรกรจะนิยมเลี้ยงปลาในบ่อดิน เพราะช่วยลดต้นทุน อีกทั้งปลายังเจริญเติบโตเร็ว มีอัตราการรอดสูง ยกตัวอย่างเช่น
การเตรียมบ่อดินในการเลี้ยง ปลาดุก
- บ่อใหม่ : หว่านปูนขาวให้ทั่วบ่อ ปริมาณ 80-120 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ ตากทิ้งไว้ 2-3 วัน ตากบ่อทิ้งไว้ 2-3 วัน
- บ่อเก่า : ทำความสะอาด โดยการลอกเลน กำจัดวัชพืชรอบๆให้หมด รวมทั้งกำจัดศัตรูปลา ด้วยการใช้โล่ติ๊นหรือกากชา ผสมน้ำสาดให้ทั่ว แล้วโรยปูนขาว 80-120 กิโลกรัม จากนั้นตากทิ้งไว้ 2-3 วัน
- การใส่ปุ๋ยเพื่อสร้างอาหารธรรมชาติ : จะแบกออกเป็น 3 ปุ๋ย คือ ปุ๋ยคอก 150-200 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เช่น ปุ๋ยนา 4-5 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ และปุ๋ยยูเรีย อยู่ที่ 2.5 กิโลกรัม
- ปล่อยน้ำเข้าบ่อ : ให้น้ำเข้า 30-50 เซนติเมตร ทิ้งไว้ 5-7 วัน เมื่อน้ำเริ่มเขียวแล้วให้เพิ่มระดับความลึกประมาณ 1.0-1.5 เมตร หลังจากนั้นเมื่อครบ 3-5 วันก็นำลูกปลาลงปล่อย
ขั้นตอนในการเลี้ยง ปลาดุก
ปลาดุกนอกจากจะเลี้ยงง่ายแล้ว เป็นปลาอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ปัจจุบันชาวเกษตรส่วนใหญ่หันมาเลี้ยงเพื่อสร้างเป็นรายได้ ซึ่งก่อนจะเลี้ยงปลาก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน รวมทั้งควรมีการคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและความเหมาะสมของสถานที่ด้วย
- การเตรียมพันธุ์ปลา : อันดับแรกควรเลือกลูกปลาที่มาจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ สังเกตปลาที่มีความแข็งแรง ลำตัว หนวด ครีบ หาง สมบูรณ์ ไม่ว่ายน้ำหงายท้อง
- อัตราการปล่อย : ลูกปลาที่ขนาด 2-3 เซนติเมตร ควรปล่อยในอัตรา 50-100 ตัว ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการเลี้ยง ชนิดของอาหาร ขนาดของบบ่อและระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำ
- การปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยง : ก่อนการปล่องลงสู้บ่อควรเอาถุงแช่ไว้สัก 10-15 นาทีก่อน เพื่อปรับอุณหภูมิให้เท่ากัน ปลาควรมีขนาดเท่ากับนิ้วมือ ช่วยเพิ่มอัตราการอดตายให้สูงมากขึ้น การปล่อยปลาช่วงเย็นจะดีที่สุด เนื่องจากอากาศไม่ค่อยร้อน ปลาจะปรับตัวได้ดี
- การให้อาหาร : ปลาที่เข้าสู่วันแรก ยังไม่ต้องให้อาหาร วันต่อมาค่อยให้เป็นอาหารลูกปลาอ่อน โดยให้ประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อลูกปลาโตแล้วให้กินอาหารเม็ด ได้เริ่มให้อาหารเล็กพิเศษ จนอายุครบ 1 เดือน โดยให้ทานวันละ 2 เวลา คือ ช่วงเช้ากับเย็น ถ้าอายุครบ 2 เดือน จึงให้อาหารปลาดุกใหญ่
- วิธีการให้อาหารปลา : ให้อาหารปลาให้เป็นเวลา ตำแหน่งควรเป็นสถานที่เดิม มีแป้นหรือภาชนะรองรับ ควรมีการให้สัญญาณ เช่น การใช้มือตีน้ำให้กระเทือน ปรับปริมาณในทุกๆ 1-2 สัปดาห์
- การถ่ายเทน้ำ : ควรเริ่มถ่ายตั้งแต่ 1 เดือน โดยประมาณ 20% ของน้ำในบ่อ 3 วันต่อ 1 ครั้ง หรือสังเกตถ้าน้ำเริ่มเสียจะต้องเปลี่ยนน้ำ [2]
สรุป การเลี้ยง ปลาดุก นอกจากจะบริโภคเนื้อแล้วยังสามารถสร้างรายได้
นอกจาก ปลาดุก จะได้รับความนิยมในการรับประทานแล้ว ยังสามารถทำอาหารได้อีกหลายเมนู เลี้ยงง่าย มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทนต่อสภาพแวดล้อมและอากาศได้ดี จึงทำให้ในปัจจุบันชาวเกษตรกรหันมาเลี้ยงปลาดุกกันอย่างกว้างขวาง เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสร้างรายได้ที่มีความมั่นคง
อ้างอิง
[1] grobest. (2024). สายพันธุ์ปลาดุกในประเทศไทยที่นิยมเพาะเลี้ยง. Retrieved from grobest
[2] fisheries (2024). เรียนรู้เรื่องปลาดุก. Retrieved from fisheries
ควายไทย หรือ กระบือ เป็นสัตว์ 4 ขาที่มีขนาดใหญ่ ที่อยู่คู่กับชาวเกษตรกรไทยมาตั้งแต่สมัยอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน เป็นสัตว์ที่มนุษย์สามารถนำมาฝึกฝนเลี้ยงจนเชื่องได้ จึงทำให้เกิดความรักและความผูกพันระหว่างควายกับเจ้าของ อีกทั้งยังเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเลี้ยงเพื่อใช้เป็นแรงงานหรือบริโภคแล้ว ควายยังเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์อีกหลายประการ
อยากเลี้ยง “ควายไทย” ต้องมีความรู้อย่างไรบ้าง
ควายไทยเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ว่ายน้ำเก่ง อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่ใช้ต้นทุนในการเลี้ยงไม่สูงมาก ควายจะมีลักษณะนิสัยที่ทนต่อฝนแต่ทนร้อนไม่ค่อยได้ เวลาอากาศร้อน ควายจะชอบลงไปแช่ในแอ่งน้ำหรือโคลน เพราะถ้าร้อนมากๆอาจทำให้ควายหงุดหงิดหรือทำร้ายคนได้ ดังนั้นการเลี้ยงควายจึงต้องมีการศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียด รอบคอบ เพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและผู้คนที่พบเห็น
ความรู้เบื้องต้นที่ควรรู้เกี่ยวกับการนำ “ควายไทย” มาเลี้ยง
ในประเทศไทยจะมีควายสายพันธุ์หลักๆอยู่ 2 กลุ่มได้แก่ ควายป่าและควายบ้าน โดยส่วนใหญ่แล้วชาวเกษตรไทยจะนิยมเลี้ยงควายบ้านเป็นหลัก ซึ่งควายบ้านจะแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ ได้แก่ ควายปลักและควายแม่น้ำ ควายทั้ง 2 สายพันธุ์นี้สามารถผสมพันธุ์กันได้ แต่ก็จะมีลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป
- ควายปลัก : จะเป็นกลุ่มควายที่ได้รับความนิยมเลี้ยงในประเทศไทยมากที่สุด ชาวเกษตรกรเลี้ยงควายเพื่อใช้เป็นแรงงาน และนำไปใช้ประโยชน์อีกหลายๆประการด้วยกัน เช่น การนำไปเลี้ยงเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ที่นำไปสู่การตลาด ทำให้เกิดรายได้จากการค้าขาย ควายปลักจะให้เนื้อมาก ราคาจะสูง มีนิสัยเชื่อง เลี้ยงง่าย กินหญ้าได้หลายชนิด รวมถึงวัชพืชอื่นๆ มีรูปร่างลักษณะลำตัวสีดำ เขายาวโค้งเป็นวง มีถุงเท้าสีขาวที่ขาทั้งสี่ข้าง คิ้วและแก้มมีจ้ำสีขาว ใต้คอจะมีลายสีขาวคาด ซึ่งบางตัวจะมีลักษณะที่ชัดเจน และควายบางตัวอาจจะมีผิวสีชมพูที่เราเรียกกันว่า ควายเผือก
- ควายแม่น้ำ : จะเป็นควายอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีอยู่ในไทย แต่พบได้น้อยเนื่องจากชาวเกษตรกรจะไม่ค่อยนิยมเลี้ยง เพราะเป็นการเลี้ยงแบบเจาะจง ให้ผลผลิตในเรื่องของน้ำนมเท่านั้น การให้เนื้อจะให้น้อยกว่าควายปลัก ราคาจะไม่สูงหากขายให้กับโรงฆ่าสัตว์ โดยควายมีรูปร่างลักษณะที่สูงใหญ่ ลำตัวจะมีสีดำ เขาโค้งม้วนหลังจะมีโหนก
หากคุณมีความสนใจที่อยากจะนำควายไทยมาเลี้ยง ก็สามารถเลือกสายพันธุ์ที่ต้องการได้ โดยทั้งสองสายพันธุ์นี้ได้รับความนิยมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงว่ามีจุดประสงค์ที่อยากจะเลี้ยงควายเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง [1]
ลักษณะทั่วไปของ ควายไทย ที่ควรรู้
โดยทั่วไปชาวเกษตรกรส่วนใหญ่จะสนใจเลี้ยงควายปลักเป็นหลัก เพราะควายปลักจะมีที่นิสัยที่เชื่อง เลี้ยงง่าย กินพืชได้หลายชนิด เช่น เปลือกข้าวโพด ต้นข้าวโพด อีกทั้งยังสามารถดำน้ำได้นาน แต่ควายตัวผู้บางตัวอาจจะมีนิสัยดุร้ายในช่วงระหว่างที่ควายตัวเมียจะมีการผสมพันธุ์
- ลักษณะภายนอกของควายในประเทศไทย : จะมีลำตัวขนาดใหญ่ รอบอกใหญ่ท้องกางใหญ่ คอใหญ่ หน้าอกกว้างอวบแข็งแรง หัวลักษณะค่อนข้างยาว หัวลักษณะค่อนข้างยาว หน้าผากแคบ บริเวณบั้นท้ายลาด หางยาว ผิวหนังตลอดร่างกายเป็นสีเทาแก่ถึงดำ
- สี : จะมี 2 สี คือ สีเทาดำและสีขาว หรือที่เรียกกันว่า ควายเผือก สีของควายจะเป็นสีของผิวหนังและสีขน ควายจะมีขนน้อยประมาณ 25-40 เส้นต่อผิวหนัง 1 ตารางนิ้ว ควายเผือกจะพบเห็นอยู่บ้างแต่ไม่มาก
- ขวัญ : เป็นลักษณะประจำตัวของควายสามารถพบเห็นได้ตามส่วนต่างๆของร่างกาย มีตั้งแต่ 1-9 ขวัญ ควายแต่ละตัวจะมีจำนวนขวัญไม่เท่ากัน จะพบมากที่ หัว, ไหล่ และซอกขา
- เขา : ควายทั่วไปหรือส่วนมากมีเขากางออกสองข้างของศีรษะ ปลายเขาโค้งเข้าหากัน ลักษณะเขาควายส่วนล่างเป็นสี่เหลี่ยมรูปมนผิวขรุขระเป็นปล้อง ส่วนบนกลมเรียวปลายแหลมผิวลื่น
- ฟัน : ควายมีฟันจำนวน 2 ชุด คือ ฟันน้ำนมกับฟันแท้ ฟันน้ำนม จะมีจำนวน 20 ซี่ ส่วนฟันแท้ มีจำนวน 32 ซี่
วิธีการเลี้ยงและประโยชน์ที่ได้รับจากควายไทย
สำหรับคนที่ตัดสินใจเลี้ยงควายไทยคุณต้องทราบก่อนว่า การเลี้ยงควายไทยนั้น มีวิธีการเลี้ยงและการดูแลควายอย่างไรบ้าง
เลี้ยง ควายไทย ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง
- การดูแลโรงเรือน : ควรมีสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศถ่ายเทที่สะดวก ไม่มีกลิ่นเหม็น ทำความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ สร้างคอกออกห่างจากบ้านพักอาศัยโดยพอประมาณ ควบคุมอุณหภูมิความชื้นพร้อมกับติดตั้งระบบพ่นน้ำจนทั่วเพื่อช่วยคลายความร้อนให้กับควาย
- อาหาร : เน้นในเรื่องของคุณภาพเป็นหลัก จะจำแนกออกได้ 5 ประเภท ได้แก่ พลังงาน โปรตีน แร่ธาตุ วิตามิน และ น้ำ ซึ่งผู้เลี้ยงควรให้หญ้ากับน้ำกินในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน
- ระบบการย่อย : ควายมีกระเพาะรวมประกอบด้วยกัน 4 ส่วน ทำให้สามารถย่อยอาหารหยาบได้ เมื่อกินพวกหญ้าเข้าไปแล้ว จุลินทรีย์จะเจริญเติบโต พอเวลาผ่านไปจะถูกย่อยออกมาเป็นโปรตีน
- การผสมพันธุ์ : ต้องมีการคัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ สังเกตจากลักษณะดี โตเร็ว ให้ลูกดก มีอวัยวะเพศที่สมบูรณ์ไม่ผิดปกติ ทั้งเพศผู้และเพศเมีย ไม่มีโรค การผสมพันธุ์จะมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ การปล่อยพ่อพันธุ์คุมฝูง การจูงเข้าผสม การผสมเทียม
- การป้องกันโรค : สังเกตพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง ถ้าหากพบความปิดปกติใดๆให้รีบตามสัตวแพทย์มาช่วยดู ผู้เลี้ยงจะต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ รวมไปถึงกำจัดสัตว์ที่เป็นโรคร้ายแรงเพื่อไม่ให้เกิดโรคติดต่อไปยังสัตว์ตัวอื่น [2]
เลี้ยง ควายไทย ได้รับประโยชน์ในด้านใดบ้าง
เนื่องจากสมัยก่อนคนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวนา จึงเลี้ยงควายไทยเป็นหลัก เพื่อช่วยในการทำไร่ทำนา ปัจจุบันควายยังคงเป็นสัตว์ที่ได้รับความนิยมของเกษตรกรไทยในอีกหลายๆด้าน เช่น
- การใช้แรงงาน : ถ้าเป็นสมัยก่อนผู้เลี้ยงจะใช้ควาย ไว้ทำไร่ ไถนา ช่วยทุ่นแรง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น จึงมีการใช้เครื่องจักร เช่น รถไถมาแทน
- ทำปุ๋ยจากมูลควาย : มูลควายเป็นปุ๋ยที่ทำให้พืชผักมีความเจริญเติบโตได้ดี เพราะช่วยในการปรับสภาพดิน เพิ่มแร่ธาตุและวัตถุในดิน เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แถมยังลดค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยเคมี
- การบริโภค : เนื้อทำเป็นอาหารได้หลายเมนู มีคุณค่าทางอาหารสูงที่อุดมไปด้วยโปรตีน มีไขมันต่ำ นอกจากนั้นการรีดนมควายยังสามารถดื่มหรือนำไปแปรรูปได้อีกหลายอย่าง
- กำจัดวัชพืช : เป็นการปล่อยสัตว์เลี้ยงในพื้นที่นาของตัวเอง โดยที่ควายจะค่อยๆเล็มหญ้ากิน ช่วยในการกำจัดวัชพืชแบบธรรมชาติ ไม่ต้องจ้างคนมาตัดหญ้าให้
- สร้างรายได้ : นอกจากเนื้อควายที่ขายได้แล้ว ยังมีน้ำนม มูลสัตว์ รวมไปถึงน้ำเชื้อที่แข็งแรง ถ้าตัวไหนมีลักษณะที่สวยงาม ยิ่งถ้าเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จะขายได้ในราคาที่สูง บางตัวอาจพุ่งสูงถึงหลักล้านเลยทีเดียว
- เลี้ยงควายง่ายต้นทุนไม่สูงมาก : เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย สามารถปล่อยแบบอิสระได้หากมีพื้นที่กว้างขวาง อาหารหลักคือหญ้าที่สามารถหากินได้ตามท้องนา ควรสร้างโรงเรือนให้พอดีกับจำนวนควายที่นำมาเลี้ยงจะช่วยในเรื่องของการประหยัดงบประมาณ
- ความสวยงาม : ถ้ามีรูปลักษณ์ที่ดี สมบูรณ์ แข็งแรง ก็จะเป็นที่น่าสนใจของผู้คนที่พบเห็น ยิ่งถ้าเป็นพ่อพันธุ์จะมีราคาค่อนข้างสูง เพราะคนอยากซื้อมาเลี้ยงเพื่อผสมพันธุ์ ลูกออกมาจะได้สวยขายได้ราคาดี [3]
สรุป การเลี้ยง ควายไทย
สำหรับใครที่ต้องการจะเลี้ยง ควายไทย การศึกษาข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะว่าควายเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่องก็จริง แต่ในบางครั้งถ้าเกิดหงุดหงิดขึ้นมาก็อาจทำร้ายคนได้ อีกทั้งยังมีลำตัวที่ใหญ่ หากไม่มีความรู้ก็อาจเกิดอันตรายถึงขั้นชีวิต ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลี้ยงควาย คุณต้องคิดพิจารณาให้ดีๆ เตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน ดูแลอย่างถูกวิธีเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเองและผู้อื่น
อ้างอิง
[1] baanlaesuan. (April 03, 2024). รู้ก่อนเลี้ยงควายไทย สัตว์เกษตรมากมูลค่า. Retrieved from baanlaesuan
[2] pvlo-cmi. (2016). คู่มือการเลี้ยงควายไทย. Retrieved from pvlo-cmi
[3] newlifeanimals. (September 01, 2023). ประเทศไทย มีควาย กี่สายพันธุ์ เลี้ยงควายไปทำไมได้ประโยชน์อะไรบ้าง. Retrieved from newlifeanimals
เม่นแคระ ถือได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆที่คนนิยมเลี้ยง และหันมาให้ความสนใจในการเลี้ยงอีกหนึ่งชนิดก็ว่าได้ เนื่องด้วยรูปร่างที่ดูแปลกตา บวกกับความน่ารักที่ดูแล้วไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ทำให้มีคนเริ่มศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงมากขึ้น
แม้ว่าบางคนอาจจะมองว่าเจ้าตัวเล็กมีหนามนี้อาจจะดูแลยาก หรือว่าต้องการดูแลเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ความจริงแล้วการเลี้ยงเม่นแคระไม่ได้ยากอย่างที่คิด และทุกคนสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยงได้ไม่ยากแน่นอน
เม่นแคระ สัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ทุกคนเลี้ยงได้
ก่อนที่คนรักสัตว์ทั้งหลายจะเริ่มมองหาเม่นแคระมาเลี้ยงสักตัว เราควรรู้จักกับสัตว์ชนิดนี้ให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อที่จะได้เลี้ยงอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้ดูแลเม่นแคระได้อย่างถูกวิธี เป็นการช่วยให้การดูแลไม่ยุ่งยาก สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่แข็งแรง เมื่อเจ็บป่วยก็สามารถพาไปรักษาได้อย่างทันท่วงที เอาเป็นว่าเรามาเริ่มต้นทำความรู้จักกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กของเราไปพร้อมๆกันได้เลย
ความเป็นมาของเม่นแคระสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก
สัตว์เลี้ยงที่เราเรียกว่าเม่นแคระ หรือ เฮดจ์ฮอก (hedgehog) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก มีลักษณะคล้ายกับเม่นทั่วไป อย่างที่เราเคยเห็นว่าเม่นจะมีหนามแหลมปกคลุมร่างกาย เมื่อไรที่รู้สึกไม่ปลอดภัย หรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แม่นแคระจะทำการขดตัวกลม พร้อมกับแผ่ขนให้ตั้งขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง แต่จะไม่สามารถสลัดขนไล่ศัตรูได้
ในส่วนของใบหน้าจะมีลักษณะคล้ายกับหนู แต่จมูกจะมีความยาวมากกว่า ในการดำรงชีวิตจะใช้จมูกดมกลิ่นฟุตฟิตๆตลอดเวลา สัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่ชอบออกหากินเวลากลางคืน ในตอนกลางวันมักจะใช้เวลาไปกับการนอนเป็นหลัก กินแมลงเป็นอาหารหลัก รวมถึงผลไม้บางชนิด [1]
นิสัยของเม่นแคระที่ควรรู้
การเลี้ยงเม่นแคระในตอนกลางวันมักจะเห็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งมากที่สุด นั่นก็คือการนอนขดตัวกลมนิ่งอยู่อย่างนั้น แทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวเลย เพราะอย่างที่เรารู้กันไปแล้วว่าเม่นแคระคือสัตว์ที่หากินตอนกลางคืน หากถึงเวลาเมื่อไรเจ้าตัวเล็กก็จะวิ่งไปมา ทำตัวดุ๊กดิ๊กแทบจะไม่หยุดนิ่งเช่นกัน
แม้ว่าสัตว์ชนิดนี้จะมีขนาดจิ๋วน่ารัก ในการนำมาเลี้ยงก็ต้องหมั่นทำความคุ้นเคยเสียก่อน เพื่อให้สามารถจับเม่นแคระได้อย่างง่ายดาย และไม่โดนเจ้าขนหนามแหลมๆนั้นขู่ด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่าเม่นแคระมักไม่คุ้นกับกลิ่นใหม่ๆ หากมีการสัมผัสหรือว่าให้ดมกลิ่นของคนเลี้ยงประจำ สามารถปรับพฤติกรรมของเม่นแคระให้เชื่องกับเจ้าของได้มากขึ้น [2]
เม่นแคระกับขั้นตอนการเตรียมตัวเลี้ยง
มือใหม่ที่อยากจะเลี้ยงเม่นแคระแต่เลี้ยงไม่เป็น ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน ให้กินอะไรได้บ้าง รวมถึงเวลาที่สัตว์เลี้ยงมีอาการเจ็บป่วยต้องทำอย่างไร วันนี้ทุกอย่างถูกนำมารวมเอาไว้ให้แล้ว หรือแม้แต่บางคนที่ยังไม่คิดจะเลี้ยงก็สามารถศึกษาไว้ก่อนได้เช่นกัน ส่วนรายละเอียดการเลี้ยงจะมีความน่าสนใจขนาดไหน ไปดูกันได้เลย
สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก่อนเลี้ยงเม่นแคระมีอะไรบ้าง?
การเลี้ยงเม่นแคระผู้เลี้ยงต้องมีเวลาในการดูแลทุกวัน พร้อมทั้งต้องมีความรักสัตว์ด้วย จะทำให้การเลี้ยงทำได้ดีมากยิ่งขึ้นไป สำหรับการเลี้ยงมีสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ดังต่อไปนี้
- เม่นแคระเป็นสัตว์ที่สามารถอยู่สันโดษได้ ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงในพื้นที่เดียวหลายๆตัว เพราะจะทำให้กัดกัน ห่วงถิ่นที่อยู่ของตัวเอง
- เม่นแคระเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน หากตอนกลางวันส่องดูเจอแต่ก้อนหนามขดนิ่ง บอกเลยว่าอย่าตกใจ เพราะนั่นคือสิ่งปกติของเม่นแคระ
- ขนของเม่นแคระไม่สามารถสลัดมาทำอันตรายให้กับคนหรือว่าสัตว์อื่นๆได้ เป็นเพียงแค่การขดตัวป้องกันตัวเองเท่านั้น
- การเลี้ยงดูควรอาบน้ำให้กับเม่นแคระเพื่อรักษาความสะอาด พร้อมทั้งต้องตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นจากเล็บที่ยาวขึ้น
- ควรให้เม่นแคระออกกำลังกายเพื่อเป็นการขยับร่างกายให้ร่างกายแข็งแรง สามารถใช้แกนกระดาษทิชชูให้วิ่งเล่นได้หรือซื้อลู่วิ่งให้เล่นรวมถึงควรมีพื้นที่ในการวิ่งเล่นด้วย
- เมื่อไรก็ตามที่เม่นแคระได้กลิ่นใหม่ๆ จะมีการทำน้ำลายเป็นฟองแล้วเอาไปป้ายที่ขนของตัวเองเพื่อเป็นการจำกลิ่น
- สถานที่เลี้ยงควรเลี้ยงในกรงที่ไม่แคบเกินไป ไม่มีรูหรือว่าเป็นตาข่าย เพราะอาจจะทำให้เม่นแคระได้รับบาดเจ็บจากการปีนป่าย
- ระวังเรื่องเส้นด้ายหรือว่าเส้นขนที่สามารถพันขาเม่นแคระ เพราะอาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของเท้าได้
- เม่นแคระสามารถกินอาหารที่หลากหลายได้ แต่ก็ต้องศึกษาให้ดีก่อนว่ามีอะไรบ้างที่กินได้หรือว่าไม่ควรให้กิน
- ห้ามจับตัวลูกเม่นแรกเกิดเพราะจะทำให้กลิ่นติดตัวลูกเม่น จนทำให้แม่เม่นกินลูกของตัวเอง เพราะเกิดความไม่ไว้ใจในตัวลูกเม่นที่มีกลิ่นแปลกปลอมจากเดิม
อาหารที่เม่นแคระไม่ควรกิน
สิ่งสำคัญที่คนเลี้ยงเม่นแคระต้องจำให้ดีก็คือเรื่องอาหาร การกินในสิ่งที่เม่นแคระต้องการจะทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วย และอยู่กับเจ้าของไปนานๆ คนเลี้ยงควรเลือกอาหารที่มีโปรตีนเป็นหลัก ซึ่งเพื่อนๆสามารถให้กินอาหารเสริมเช่นพวกผลไม้ หรือว่าแมลงตัวเล็กๆร่วมด้วยได้
แต่ไม่ควรให้กินอาหารแมว แม้ว่าจะให้กินได้ เพราะอาหารแมวมีโปรตีนน้อย หากกินเป็นเวลานานจะส่งผลทำให้เม่นแคระเป็นโรคไตและโรคเกี่ยวกับตับตามมาได้ แนะนำเลือกซื้ออาหารของเม่นแคระโดยเฉพาะจะดีที่สุด [3]
สรุป การเลี้ยง เม่นแคระ ไม่ยากเหมาะสำหรับคนรักสัตว์ทุกคน
หากได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยง เม่นแคระ อย่างถูกวิธี การดูแลสัตว์เลี้ยงตัวจิ๋วนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่ดูแลเอาใจใส่ให้สัตว์เลี้ยงร่าเริง มีสุขภาพที่แข็ง ความน่ารักของเจ้าเม่นแคระก็จะทำให้คนเลี้ยงมีความสุขได้ทุกวัน แม้ว่าหลายๆคนจะไม่เคยเลี้ยงเม่นแคระมาก่อน เชื่อว่าหลังจากที่อ่านข้อมูลดีๆเหล่านี้แล้ว ทุกคนจะเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ดีได้แน่
อ้างอิง
[1] wikipedia. (January 4, 2023). เฮดจ์ฮอก. Retrieved from wikipedia
[2] kapook. (March 27, 2023). วิธีเลี้ยงเม่นแคระ เจ้าตัวกลมขนหนาม ที่ดูแลง่ายกว่าที่คิด. Retrieved from kapook
[3] animalspacehospital. (2024). 10 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเลี้ยงเม่นแคระ. Retrieved from animalspacehospital
เฟนเน็คฟ็อกซ์ หรือ หมาป่าตัวจิ๋ว หรือ จิ้งจอกทะเลทราย หรือหมาป่าเฟนเน็ค เป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็กน่ารัก ขนฟู มีใบหน้าเล็ก และมีใบหูใหญ่ ครบสูตรความน่ารัก หากใครชื่นชอบสุนัข ไม่ควรพลาดเรื่องราวของจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้ ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความน่ารักอย่างนั้น มีเสน่ห์น่าดึงดูดจนเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้ใจคนทั้งโลก
เฟนเน็คฟ็อกซ์ มาดูความน่ารักของจิ้งจอกตัวน้อยแห่งประเทศอียิปต์
จิ้งจอกทะเลทราย เฟนเน็คฟ็อกซ์ (Fennec Fox) เป็นสัตว์ที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบทะเลทรายประเทศอียิปต์ ซึ่งมีขนาดตัวเล็กมากๆ ตัวเต็มวัยประมาณ 14-15 เซนติเมตรเท่านั้น น้ำหนักตัวโดยรวมประมาณ 1 กิโลกรัม น้ำหนักตัวพอๆกับปอม หรือ ชิวาวา เจ้าหมาตัวเล็กที่บ้านเราชอบเลี้ยงกัน
สุนัขจิ้งจอกพันธุ์นี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ดูหน้าตาน่ารัก ใบหน้าเล็กๆ หูโตๆ ขนฟูฟ่อง หากใครชื่นชอบสุนัขอยู่แล้ว รับรองว่าคุณจะหลงรักจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้อย่างแน่นอน
รูปลักษณ์ของเฟนเน็คฟ็อกซ์น่ารักเกินต้าน
ด้วยความที่เฟนเน็คฟ็อกซ์เป็นสัตว์ขนาดเล็ก มีความเป็นสุนัขจิ้งจอกและความตะมุตะมิในตัว มีขนสีน้ำตาลอ่อนๆ จึงทำให้หลายๆคนตกหลุมรักเจ้าสุนัขจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้ ด้วยใบหน้าแหลมเล็กตามแบบฉบับสุนัขจิ้งจอก ขนหนาฟูน่าฟัด และใบหูที่ใหญ่ จึงทำให้เหมือนตุ๊กตาตัวน่ารักๆ ที่ออกมาวิ่งเล่นซุกซนให้เราได้เห็น
สำหรับใบหูที่ใหญ่ของจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้ มีไว้สำหรับฟังเสียง แม้แต่เสียงแมลงตัวเล็กๆก็ได้ยิน และการสื่อสารต่างๆสามารถได้ยินไกลถึง 5 กิโลเมตร และยังระบายความร้อนได้ด้วย
ลักษณะนิสัยโดยรวมของเฟนเน็คฟ็อกซ์ที่คุณต้องรู้
สุนัขจิ้งจอกตัวจิ๋วเฟนเน็คฟ็อกซ์จะมีอุปนิสัยคล้ายๆกับ แมวผสมหมา มีความฉลาด ว่องไว คล่องแคล่ว ซุกซน ขี้ระแวง บ้าพลังเหมือนสุนัขทั่วไป และมีความเป็นแมว บางทีก็ชอบอยู่ตามลำพังไม่อยากให้ใครมายุ่ง นิสัยสลับกันไปมา ซึ่งถือว่าเป็นจิ้งจอกน้อยเจ้าอารมณ์ และการเห่าจะเสียงแหลมมาก แต่ด้วยความน่ารักจึงทำให้นิสัยต่างๆเป็นเรื่องรองไปเลย
จิ้งจอกทะเลทรายเป็นสัตว์ที่มีรักมั่นคง จะมีคู่แค่ครั้งเดียวตัวเดียวไปตลอด โดยเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด ไม่ชอบที่สกปรกและไม่ชอบให้เนื้อตัวเปอะเปื้อน ชอบวิ่งเล่นอาบแดด มีนิสัยชอบขุดและเป็นสัตว์นักล่าตามสัญชาตญาณ แม้แต่สัตว์มีพิษหรืองูต่างๆ จิ้งจอกตัวนี้ก็สามารถจัดการได้หมด [1]
การเลี้ยงดูเจ้าเฟนเน็คฟ็อกซ์สำหรับมือใหม่
สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยเลี้ยงเฟนเน็คฟ็อกซ์มาก่อนไม่ต้องกังวลเลย เพราะการเลี้ยงดูสุนัขจิ้งจอกตัวจิ๋วนี้ไม่ยาก เหมือนที่เราเลี้ยงสุนัขทั่วไปใช้อุปกรณ์พื้นฐาน และเตรียมพื้นที่ไว้ให้เจ้าจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้อยู่อาศัย ซึ่งมาดูการเตรียมตัวขั้นพื้นฐานก่อนนำจิ้งจอกเฟนเน็คมาเลี้ยงกันเลย
สถานที่เลี้ยงเฟนเน็คฟ็อกซ์
ในการเลี้ยงสุนัขสักตัวหนึ่งต้องมีพื้นที่สำหรับเลี้ยง และเจ้าจิ้งจอกเฟนเน็คฟ็อกซ์เช่นเดียวกัน เราควรเตรียมสถานที่เตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ
- การเลี้ยงจะสามารถเลี้ยงในระบบกรง ซึ่งถ้ามีพื้นที่ประมาณนึงที่พอให้จิ้งจอกตัวจิ๋วเราอยู่ได้แบบไม่อึดอัด
- การเลี้ยงแบบปล่อยเหมือนเป็นการเลี้ยงสุนัขบ้านเลย ต้องมีรั้วรอบขอบชิด มีพื้นที่ให้วิ่งเล่น แบ่งโซนเต็มที่ ซึ่งต้องระวังสวนหรือแปลงดอกไม้ไว้เพราะเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยชอบขุด การเลี้ยงแบบปล่อยจะทำให้จิ้งจอกเฟนเน็คอารมณ์ดี เชื่องกับเจ้าของ ไม่หงุดหงิด ไม่ก้าวร้าว
ขึ้นชื่อว่าเป็นสุนัขถึงแม้จะเป็นจิ้งจอกพันธุ์เล็ก แต่ต้องการใช้พลังงาน ต้องการพื้นที่วิ่ง การปลดปล่อยความบ้าคลั่ง การเลี้ยงแบบปล่อย จะทำให้มีความสุขกว่าอยู่ในกรง หรือเลี้ยงแบบคอยกั้นสัดส่วนให้ดี เพราะน้องเป็นจิ้งจอกทะเลทราย ทนอากาศร้อนจัด และทนอากาศหนาวสุดได้ไม่ต้องห่วงเรื่องปรับตัว [2]
ของจำเป็นสำหรับเฟนเน็คฟ็อกซ์ที่มือใหม่ต้องเตรียม
เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงเฟนเน็คฟ็อกซ์อุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้และสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้มีดังนี้
- ที่นอนสำหรับจิ้งจอกเฟนเน็ค ซึ่งสามารถเลือกที่นอนในแบบลูกหมาทั่วไป หรือที่นอนที่เป็นเตียงนอนสำหรับหมา สามารถใช้เหมือนสุนัขชนิดอื่นๆได้เลย
- ถ้วยสำหรับใส่อาหาร ให้เลือกวัสดุที่ดี โดยแบ่งแยกถ้วยอาหารชนิดเปียกหรือชนิดแห้ง รวมไปถึงถ้วยใส่น้ำสะอาด ต้องไม่ให้ขาด
- กรรไกรตัดเล็บ โดยธรรมชาติแล้วน้องหมาเฟนเน็คเป็นสัตว์นักล่า ซึ่งจะมีอุ้งเท้าและเล็บที่แหลมคมเราสามารถปรับแต่งได้
- กระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยง ซึ่งเราสามารถเลือกกระเป๋าสำหรับสุนัขหรือแมวได้เลย เพราะจะได้พกพาน้องไปไหนต่อไหนด้วย และฝึกให้น้องคุ้นชินกับคนไม่ให้น้องตื่นตระหนกเวลาเจอคน
- อุปกรณ์ทำความสะอาดไม่ว่าจะเป็นสบู่ ผ้าเช็ดทำความสะอาด ไดร์เป่าแห้ง ซึ่งเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายส่วนใหญ่จะไม่ต้องอาบน้ำบ่อย เพราะเป็นสัตว์ที่รักสะอาดอยู่แล้ว
- ที่แปรงขนสุนัข จิ้งจอกทะเลทรายเป็นสุนัขที่มีขนหนา เพื่อให้ทนกับความร้อนและอากาศที่หนาว การหวีหรือแปรงขนจะช่วยให้ไม่เป็นที่หมักหมมหรือเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรค
- อาหาร ซึ่งสามารถเลือกอาหารเม็ดสำหรับสัตว์ขนาดเล็กหรือสุนัขพันธุ์เล็ก และสามารถกินอาหารจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้หรือเนื้อสัตว์ แต่ไม่ควรให้กินกระดูกชิ้นใหญ่เพราะเนื่องจากน้องเป็นจิ้งจอกตัวเล็ก อาจจะทำให้ฟันหักได้
จะเห็นได้ว่า การที่เราจะเลี้ยงจิ้งจอกเฟนเน็ค ไม่ได้ยากกว่าการเลี้ยงสุนัขทั่วๆไปเลย ให้เข้าใจพฤติกรรมและนิสัยน้อง และการจัดพื้นที่ที่เหมาะสม มือใหม่ก็สามารถเลี้ยงจิ้งจอกทะเลทรายได้อย่างสบายๆ
สรุป เฟนเน็คฟ็อกซ์ มือใหม่ก็สามารถเลี้ยงได้
สำหรับสุนัขจิ้งจอก เฟนเน็คฟ็อกซ์ เป็นจิ้งจอกทะเลทรายที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และมีอายุพอๆกับสุนัขพันธุ์อื่นๆเลย ซึ่งตัวจิ้งจอกเฟนเน็คจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 15 ปี หากรับมาเลี้ยงแล้วต้องดูแลให้ดีไม่ทิ้งขว้าง เพราะค่าตัวน้องก็หลักหมื่น วิธีการเลี้ยงนั้นไม่ยาก เลี้ยงได้เหมือนสุนัขพันธุ์อื่นๆเลย และสุดท้ายนี้ขอให้คนที่รับเลี้ยงมีความสุขกับเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายแสนน่ารัก
อ้างอิง
[1] petplease. (December 29, 2022). มาทำความรู้จักกับเฟนเน็คฟ็อกซ์ จิ้งจอกจิ๋วทะเลทราย!. Retrieved from petplease
[2] mgronline. (June 10, 2011). “เฟนเน็คฟ็อกซ์” คู่ละแสน! สุนัขจิ้งจอกสายพันธุ์จิ๋วที่สุดในโลก. Retrieved from mgronline
หมูแคระ หรือ เจ้าหมูไซซ์มินิ กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนที่กำลังมองหาสัตว์เลี้ยงที่มีความน่ารัก มีความขี้เล่นซุกซน ซึ่งจะมีทั้งหมูไซซ์เล็ก หมูไซซ์มินิ หรือหมูไซซ์จิ๋ว ซึ่งหมูชนิดนี้ไม่ใช่หมูสำหรับใช้เป็นอาหารหรือใช้กิน เป็นหมู่ที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงไม่ต่างจากการเลี้ยงหมา แมว หนูแฮมเตอร์ กระต่าย และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ และยังมีความน่ารักน่าหลงใหลจึงทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้น
หมูแคระ ได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงมากขึ้นในปี 2024
สำหรับเจ้าหมูแคระตอนนี้นับได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก ซึ่งมีขนาดตัวที่เล็กกว่าหมูไซซ์ปกติ โดยเจ้าหมูไซซ์มินิไม่ได้มีไว้เพื่อบริโภค ด้วยขนาดตัว ด้วยความน่ารัก ทำให้หลายๆคนตกหลุมรักเจ้าหมูไซซ์มินิไปเลย โดยนิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเหมือนเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงได้ทั้งในบ้าน และนอกบ้าน ซึ่งปัจจุบัน 2024 เจ้าหมูตัวจิ๋วได้รับความนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
มาทำความรู้จัก หมูแคระ หรือ Mini Pig
หมูแคระ หรือ Mini Pig เป็นหมูน้อยขนาดมินิ ตัวเต็มวัยจะมีความสูงประมาณ 1 ไม้บรรทัด หรือ 15 นิ้ว ตัวน่ารักๆ มีเนื้อสีชมพู จมูกสีชมพู ดวงตากลมโต เนื้อตัวไม่มีกลิ่นสาบ และมีสีขนต่างกันออกไปแล้วแต่พันของเจ้าหมูตัวแคระ
ขอบอกเลยว่าเอาหมูไซซ์มินิดาเมจแรงมากๆ ในการเป็นสัตว์เลี้ยงเจ้าหมูไซซ์เล็กสามารถนำมาฝึกให้รู้ความได้ ซึ่งมีความเป็นมิตร มีความเฉลียวฉลาด เลี้ยงง่าย แข็งแรง สร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้คนเลี้ยงได้อยู่เสมอๆ
หมูแคระ กินอะไรเป็นอาหาร
การเลี้ยงหมูแคระ กินง่ายอยู่ง่ายมากๆสามารถกินได้ทั้งอาหารหมูเม็ด ที่เน้นสารอาหารดีๆ การกินผัก กินผลไม้ รวมไปถึงนม สำหรับชนิดของอาหารกับปริมาณของอาหารจะขึ้นอยู่กับอายุของตัวหมู ซึ่งคนเลี้ยงต้องเลือกปริมาณอาหารให้พอเหมาะ ไม่ใส่อาหารเยอะเกินไป เพราะน้องหมูจะไม่รู้สึกอิ่ม จะเดินวนกินเรื่อยๆ กลายเป็นสารอาหารเกินได้
ของโปรดของเจ้าหมูตัวแคระส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน เน้นสารอาหารที่หลากหลายอาทิเช่น ผักกาด บรอกโคลี ผักสลัด แตงกวา แครอท ฟักทอง และผักใบเขียวต่างๆ ส่วนในเรื่องของผลไม้หมูตัวแคระของเรากินได้หลากหลายชนิด มะม่วง ชมพู่ แอปเปิล องุ่น และผลไม้อื่นๆ ที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ น้ำเปล่า เราจะเตรียมน้ำสะอาดไว้ให้น้องหมูกินอยู่เสมอๆ ไม่ให้ขาด [1]
เพื่อนซี้คู่ใจ “หมูแคระ” เลี้ยงง่าย ดีต่อใจ
สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของใครหลายๆคน หมูแคระ และยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ในบ้านเราก็นิยมเลี้ยงหมูไซซ์เล็กมากขึ้น เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่น เลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรด เลี้ยงไว้คลายเหงา และเลี้ยงไว้เป็นการขยายพันธุ์ ด้วยความน่ารัก ความขี้เล่น และรูปลักษณ์ที่ตะมุตะมิ
จึงทำให้หลายๆคนถูกเจ้าหมูตัวแคระตกได้อย่างไม่น่าแปลก หากใครโดนเจ้าหมูตัวจิ๋วทำดาเมจใส่ และอยากได้มาเลี้ยง อยากได้มาครอบครอง เรามาดูกันว่า ต้องเตรียมความพร้อมยังไง และต้องเตรียมค่าใช้จ่ายในการดูแลน้องหมูประมาณไหน มาอ่านในบทความนี้เลย
เตรียมความพร้อมในการเลี้ยง หมูแคระ
ก่อนรับหมูแคระเข้ามาอยู่ในความดูแล ผู้เลี้ยงทุกคนต้องมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงสักตัว ไม่ต่างจากการเตรียมตัวเลี้ยงหมาหรือการเตรียมตัวเลี้ยงแมว ซึ่งสำหรับเจ้าหมูตัวแคระก็จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมเช่นกันดังนี้
- ที่อยู่อาศัยของน้องหมู : ตัวคนเลี้ยงต้องเตรียมพื้นที่ให้พร้อม จะเลี้ยงน้องหมูในสิ่งแวดล้อมไหน จะเลี้ยงไว้นอกบ้าน จะเลี้ยงไว้ในบ้าน หรือจะทำบ้านไว้เฉพาะน้องหมูตัวแคระ ซึ่งที่อยู่อาศัยของหมูต้องมีพื้นที่ให้น้องได้เดินเล่นมีรั้วรอบขอบชิด ป้องกันไม่ให้หมูตัวแคระของเราหลุดรอดออกไปได้ มีฟางข้าวให้นอน มีที่สำหรับกินน้ำ หรือกินอาหาร จัดสรรให้หมูใช้ชีวิตได้แบบไม่ลำบาก
- ห้องน้ำหมู : เป็นที่สำหรับใช้ขับถ่ายของน้องหมู ไม่ว่าจะเป็นกระดาษรองฉี่ กระบะทราย หรือการขุดฝังกลบมูลหมู ซึ่งเราสามารถฝึกให้เจ้าหมูตัวแคระขับถ่ายให้เป็นที่ได้ เพื่อสะดวกในการเก็บกวาดและรักษาความสะอาด เพราะหมูชนิดนี้มีนิสัยรักสะอาด
- อุปกรณ์ทำความสะอาด : เจ้าหมูตัวแคระของเราอย่างที่บอกมาข้างต้นเป็นหมูที่รักสะอาด ซึ่งคนเลี้ยงต้องหมั่นอาบน้ำให้น้องบ่อยๆ ดังนั้นจำเป็นต้องมีชมพูสำหรับอาบน้ำ เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม มีผ้าเช็ดตัวสำหรับน้องหมู มีที่เป่าลม และอื่นๆที่จำเป็น ซึ่งน้องจำเป็นต้องอาบน้ำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
ในการเลี้ยงเจ้าหมูตัวแคระไม่แตกต่างจากการเลี้ยงสุนัขหรือเลี้ยงแมว ซึ่งคนเลี้ยงต้องพาไปออกกำลังกาย พาไปเดินเล่น เอาใจใส่ และให้ความอบอุ่น มีเวลาเล่นกับหมูตัวแคระในทุกๆวัน เพื่อสุขภาพที่ดี อารมณ์ที่ดี และความใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง
รวมไปถึงฝึกความรับผิดชอบในตัวผู้เลี้ยงไปในตัว หากใครคิดว่าตัวเองทำได้และพร้อมที่จะดูแลเจ้าหมูตัวแคระ ก็สามารถรับน้องหมูเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวได้เลย [2]
ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยง หมูแคระ
สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาหมูแคระ และอยากจะรับเลี้ยงน้องหมูมาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว วันนี้เราจะมาสรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆในการรับน้องหมูเข้ามาเป็นสมาชิกครั้งแรก จะต้องจ่ายเท่าไหร่แล้วต้องเสียอะไรบ้างมากันเลย
- ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ในการทำที่พักอาศัยให้เจ้าหมูตัวแคระ ค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน ตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่น
- ราคาหมูตัวแคระ ซึ่งจะมีความแตกต่างการขึ้นอยู่ในแต่ละสายพันธุ์ โดยประมาณจะอยู่ที่ 10,000 - 20,000 บาท
- ค่าใบอนุญาต การเลี้ยงน้องหมูตัวแคระ (ในกรณีที่ต้องมีใบอนุญาต)
- ค่าอาหาร นม และอาหารเสริม
- ค่าวัคซีน รายการตรวจสุขภาพ
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่อาจจะมีตามหลังเข้ามา เช่น ค่าข้าวของพัง ค่าความเสียหาย และอื่นๆ
หากคุณต้องการจะนำสัตว์เลี้ยงสักตัวเข้าบ้านหรือนำมาเลี้ยง คุณต้องตัดสินใจให้ดีว่าไม่ได้ชอบแค่ประเดี๋ยวประด๋าว เราต้องมั่นใจว่าจะดูแลทั้งชีวิตของสัตว์เลี้ยงของเราและจนกว่าจะหมดอายุขัย ซึ่งหากว่าคุณชอบคุณต้องการเลี้ยงและสามารถดูแลได้จริงๆ เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนจะต้องคิดก่อนที่จะรับสัตว์เลี้ยงสักตัวเข้ามาอยู่ในบ้านนั่นเอง [2]
สรุป หมูแคระ ได้รับความนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงสูงขึ้น
ด้วยความน่ารัก ขนาดตัวเล็กกะทัดรัด ความสมส่วนในรูปทรง ความจมูกชมพู จึงทำให้ หมูแคระ ได้รับความนิยมมากขึ้น และตัวหมูยังมีความเฉลียวฉลาด สามารถสอนให้รู้ความได้สามารถฝึกได้ จึงทำให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใครๆหลายคนต้องการ ไม่ต่างจากการเลี้ยงสุนัขหรือเลี้ยงแมว ด้วยองค์ประกอบต่างๆ และความน่ารักร่าเริงสดใส จึงทำให้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของใครหลายๆคน
อ้างอิง
[1] kaset. (2024). แนะนำวิธีเลี้ยงหมูแคระให้โตเต็มวัย พร้อมสร้างรายได้จากการเพาะพันธุ์. Retrieved from kaset
[2] kapook. (2024). ทำความรู้จัก หมูแคระ เจ้าอู๊ดไซซ์มินิ สัตว์เลี้ยงที่หลายคนหลงรัก. Retrieved from kapook
เลี้ยงกบ เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่อยากแนะนำให้กับทุกคนได้รู้จัก เนื่องจากกบเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย โตไว มีรสชาติที่อร่อย อีกทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมากมาย ในส่วนของขั้นตอนการเลี้ยงก็ทำได้แบบสบายๆ ไม่ว่าจะมีพื้นที่จำกัดแค่ไหน ก็สามารถเลี้ยงกบเพื่อใช้ประกอบอาหารกินเอง หรือเลี้ยงขายเพื่อสร้างรายได้ให้กับผู้เลี้ยงได้อีกทาง
เลี้ยงกบ สร้างรายได้เข้ากระเป๋า
ในปัจจุบันมีผู้ที่สนใจหันมาเลี้ยงกบกันมากขึ้น จากข้อดีหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นการลงทุนที่ใช้ต้นทุนต่ำ ไม่ต้องมีเงินเยอะก็ทำได้ รวมถึงตัวกบเองก็เป็นสัตว์ที่หาแหล่งเพาะพันธุ์ได้ง่าย การเลี้ยงดูก็ใช้ระยะเวลาไม่นาน สะดวกในการทำความสะอาดที่อยู่ของกบ หลังจากที่เลี้ยงโตแล้วก็สามารถจับขายได้ตลอด เพียงแต่ต้องเลือกสถานที่เลี้ยงให้เหมาะสม การเรียกเงินเข้ากระเป๋าจากการเลี้ยงกบก็ไม่ยากอีกต่อไป
เลือกเลี้ยงกบพันธุ์ไหนดีที่สุด?
หากอยากเลี้ยงกบให้ดีทำเงินให้กับคนเลี้ยง ต้องเลือกกบที่เหมาะสมต่อการเลี้ยง หากเลือกเลี้ยงผิดสายพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเลี้ยงอาจจะต้องขาดทุนกันไป และเพื่อให้คนที่อยากเลี้ยงสามารถเลือกพันธุ์กบได้อย่างเหมาะสม จำเป็นที่จะต้องรู้จักพันธุ์กบเสียก่อนว่ามีการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- กบพันธุ์พื้นเมือง : เป็นกบชนิดที่อาศัยอยู่ในทุกบริเวณของประเทศไทยตามภาคต่างๆ สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น กบนา, กบทูด, กบจาน, กบภูเขียว, กบเหลว เป็นต้น
- กบพันธุ์ต่างประเทศ : เป็นกบเศรษฐกิจจากต่างประเทศซึ่งมีขนาดใหญ่ ชนิดที่คนนิยมเลือกเลี้ยงมากที่สุดคือ กบพันธุ์บลูฟร็อก
แนะนำการเลือกเลี้ยงกบต้องพันธุ์นี้เท่านั้น!
สำหรับการ เลี้ยงกบ ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพี่น้องเกษตรกรของเรา คือการเลือกชนิดของกบนาในการนำมาเลี้ยง ด้วยเหตุผลที่ว่าสามารถหาซื้อพันธุ์กบได้ง่าย เลี้ยงง่าย โตเร็ว และเนื้อมีรสชาติอร่อยมากกว่ากบพันธุ์อื่น ใช้เวลาในการเลี้ยงสั้น 4-5 เดือนก็จับขายได้ น้ำหนักดีอยู่ที่ประมาณ 3-4 ตัว/กิโลกรัม
ส่วนของการเพาะพันธุ์กบเพื่อเลี้ยงต่อต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปีขึ้นไป เป็นกบที่สุขภาพแข็งแรงไม่มีโรค กบตัวเมียที่ใช้เป็นแม่พันธุ์น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 2-3 ขีด/ตัว การปล่อยกบพ่อพันธุ์ – แม่พันธุ์ ลงในบ่อสามารถเลือกปล่อยแบบ 1:1 หรือ 1:2 ก็ได้ จำนวนคู่ที่ปล่อยไม่ควรเกิน 5 คู่ ในกบแม่พันธุ์ 1 ตัว สามารถวางไข่ได้ 2,000 – 3,000 ฟอง [1]
วิธีการ เลี้ยงกบ เพื่อยังชีพและหารายได้
วิธีการที่ช่วยให้ผู้ที่เลี้ยงกบสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเตรียมพื้นที่เลี้ยง คือการลงมือทำเองให้มากที่สุดและเลือกรูปแบบการทำที่ทำง่าย รวดเร็ว จะส่งผลให้การเลี้ยงกบมีค่าใช้จ่ายที่น้อย หลังจากที่จับขายได้ก็จะได้กำไรที่มากขึ้น โดยในการเลือกทำบ่อสำหรับการเลี้ยงกบมีอยู่หลายแบบ หากเห็นว่าแหล่งที่อยู่ของผู้เลี้ยงสามารถทำแบบไหนง่ายกว่า ก็เลือกรูปแบบนั้นไปทำได้เลย
การเลี้ยงกบในรูปแบบที่ง่ายที่สุด
รูปแบบที่ได้รับความนิยมสำหรับการเลี้ยงกบมี 2 ประเภท ซึ่งประกอบด้วยการเลี้ยงในบ่อดินหรือบ่อซีเมนต์ และการเลี้ยงในคอนโด มีรายละเอียดการเตรียมดังต่อไปนี้
- การเลี้ยงกบในบ่อดิน/บ่อซีเมนต์ : ขนาดบ่อ 4x4 เมตร ในบ่อขุดทำแอ่งน้ำขนาด 3x3 เมตร ความลึก 20 เซนติเมตร บ่อนี้สามารถปล่อยกบได้ 1,000 ตัว หากเลี้ยงไว้กินในครัวเรือนขนาดจะเล็กลงมาเหลือเพียง 2x3 เมตร ขุดแอ่งน้ำขนาด 1.20x2 เมตร ความลึก 20 เซนติเมตร ทำหลักไม้ปักรอบ 4 ด้าน เว้นระยะห่างหลักละ 2 เมตร จากนั้นใช้ตาข่ายเขียวมุงซ้อนกัน 2 ชั้น และต้องฝังลงดินให้ได้ความลึก 20 เซนติเมตร เพื่อป้องกันสัตว์อื่นๆที่จะเข้ามาในบ่อ
- การเลี้ยงกบในคอนโด : เลือกทำเลในการวางยางรถยนต์ในที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป สงบเงียบ ไม่เลือกสถานที่ติดกับถนนที่มีรถวิ่งผ่าน หากเป็นที่ร่มชุ่มชื้นได้จะดีมาก จากนั้นทำคอนโด 3 ชั้นให้กบ โดยชั้นล่างสุดจะเป็นบ่อซีเมนต์ ขนาด 80 เซนติเมตร ซึ่งท่อนี้ให้ทำการเจาะรูด้านข้างเพื่อใช้ปล่อยน้ำทิ้ง จากนั้นนำยางรถยนต์มาวางทับขึ้นอีกจำนวน 2 เส้น ปิดท้ายด้วยฝาพัดลมอยู่ด้านบนสุด เพียงเท่านี้ก็ได้คอนโดกบที่ใช้พื้นที่น้อยไว้ใช้งานแล้ว
เทคนิคการเลี้ยงกบให้โตเร็วตัวใหญ่
อยากประสบความสำเร็จในการเลี้ยงกบ บอกเลยว่าแค่รู้เทคนิคนิดหน่อยๆก็ทำให้กบของเราโตเร็วตัวโตกว่าใครแล้ว โดยเริ่มจากการให้อาหารเราจะให้อาหารเพียงแค่ 1 ครั้ง/วัน โดยจะให้กินอาหารปลาดุกเม็ดเล็กเพื่อประหยัดต้นทุน หลังจากที่กบโตเต็มที่ก็เปลี่ยนเป็นอาหารปลาดุกเม็ดใหญ่ จำนวนอาหารที่ให้กินจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของกบ
แต่หากผู้เลี้ยงอยากให้อาหารเสริมกบ สามารถให้กินอาหารร่วมด้วยก็ได้ เช่น กุ้ง ปู หอย เป็นต้น และอีกสิ่งที่ไม่ลืมคือหมั่นเปลี่ยนน้ำทุกวัน เพื่อป้องกันการเกิดโรค และคัดแยกกบตัวที่ป่วยออกไปรักษา เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ [2]
สรุป การ เลี้ยงกบ ทำง่ายได้ทั้งกิน-ทั้งขาย
การ เลี้ยงกบ ในปัจจุบันนอกจากจะทำให้คนเลี้ยงมีเนื้อกบไว้ประกอบอาหารแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนจากการเลี้ยงชีพทั่วไป ให้กลายเป็นการหารายได้เสริมให้กับตนเองได้อีก และอาจกลายเป็นแหล่งทำเงินก้อนโตของทุกคนได้ โดยเริ่มจากการลงทุนหลักร้อย แต่ทำกำไรได้ไม่หยุด
อ้างอิง
[1] vigotech. ( 2024). การเลี้ยงกบ เพื่อเลี้ยงชีพ. Retrieved from vigotech
[2] baanlaesuan. (April 5, 2024). เลี้ยงกบในคอนโดยางรถยนต์ เลี้ยงง่าย ต้นทุนเพียงหลักร้อย. Retrieved from baanlaesuan